นักล้วงทรัพย์สอนธรรม

เอกภพ สิทธิวรรณธนะ 28 มิถุนายน 2015

วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ยามดึก

ผมนำพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ไปเที่ยวชมสวนสาธารณะในตัวเมืองโดยนั่งรถไฟใต้ดินเป็นพาหนะ เรายืนรอรถที่กำลังจะมาถึงในหนึ่งนาที ชานชาลาสีเหลืองมีคนบางตา

มาดริดเป็นเมืองใหญ่ มีผู้คนอาศัยสามล้านคน อาชญากรรมในเมืองแห่งนี้แม้ไม่มากนักแต่ก็นับว่าสูงเมื่อเทียบกับเมืองหลวงอื่นในยุโรป ด้วยเศรษฐกิจที่ทรุดตัวเมื่อหลายปีก่อนประกอบกับสถานการณ์การอพยพเข้าของคนต่างถิ่น ทำให้การล้วงทรัพย์วิ่งราวเกิดขึ้นอยู่เสมอ เหยื่อโดยมากมักจะเป็นนักท่องเที่ยวต่างถิ่นเพราะมักพกเงินติดตัวจำนวนมาก และไม่รู้จะทำอย่างไรหากทรัพย์ถูกฉกชิงไป

พวกเราอยู่ในข่ายนี้ ดังนั้นผมจึงระวังตัวพอสมควร เอากระเป๋าคาดเอวมาคาดสะพายอก ให้ส่วนที่มีกระเป๋าสตางค์อยู่ในระยะที่มองเห็นชัดเจน โจรจะได้ไม่กล้ามากรีดล้วงกระเป๋า ผมเองก็อุ่นใจ

รถไฟมาแล้ว ประตูเปิดออกเผยความแออัดด้านใน เวลาของเรามีไม่มากนัก ข้าพเจ้าและพระอาจารย์จึงแทรกตัวเบียดเข้าไป ชายตัวโตที่ยืนใกล้ๆ ออกเสียงบ่นรำคาญ ทั้งยังขยับตัวสะบัดสะบิ้ง คงเพราะพวกเราเบียดตัวเข้าไปกระมัง

ผมสำรวจมองแผนที่รถไฟใต้ดินให้แน่ใจว่าต้องลงในสองสถานีข้างหน้า ระหว่างนั้นผมสัมผัสถึงแรงสะเทือนแปลกๆ ใครบางคนกำลังรูดซิปกระเป๋าของผม

ผมเหลือบมองไปที่กระเป๋าคาดอก เสื้อแจ็คเก็ตของชายคนนั้นปิดบังสายตาของผมอยู่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ผมเขี่ยชายเสื้อของเขาออกดูจึงพบสิ่งที่น่าตกใจ

นิ้วของชายคนนั้นอยู่ในกระเป๋าคาดเอวของผม ผมกำลังจะโดนล้วงกระเป๋าเข้าแล้ว !

ผมขนลุก เหงื่อเย็นซึมออกทั่วร่าง ตั้งสติให้มั่น หันไปสบตาชายคนนั้นเข้าเต็มตา “จ้ะๆๆ ฉันเห็นนะ ฉันเห็น…”

กระเป๋าสตางค์ของผมหวุดหวิดจะหลุดลอยปลิวไปในเมืองใหญ่เสียแล้ว โชคดีที่ประตูรถไฟเปิดออก ถึงสถานีที่ต้องการลงพอดี ผมนิมนต์พระอาจารย์เดินออกไปด้วยกัน พบทางสองแพร่งว่าจะต้องออกทางซ้ายหรือขวา

ใจของผมก็พบทางสองแพร่งเช่นกัน เป็นใจที่ต้องเลือกว่าจะรู้สึกกับประสบการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นอย่างไร

ครั้งหนึ่งเมื่อสิบปีก่อน ผมเคยใช้ชีวิตต่างแดน และเคยโดนฉกชิงกระเป๋าสตางค์ไปดื้อๆ เช่นนี้ หลังจากนั้นมาผมรู้สึกหวาดกลัวต่อเนื่องไปอีกหลายเดือน ไม่ไว้วางใจคนท้องถิ่น มองอะไรก็เป็นลบไปหมด วาดภาพก็มีแต่ความหม่นหมอง ร้องไห้คิดแต่ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับบ้านๆ หลังจากผมสูญเสียกระเป๋าสตางค์ใบนั้นเหมือนผมตกนรกต่อเนื่องเพราะคิดปรุงแต่งว่าถูกล่วงละเมิดอย่างแรง มารู้ภายหลังว่าผมวางใจผิดไปมากทีเดียว กล่าวคือ ผมคิดถึงสิ่งที่ล่วงลับไปแล้วด้วยอาลัย คิดครั้งแล้วครั้งเล่า เจ็บปวดทุกครั้งที่คิด

นั่นคือทางแพร่งทางหนึ่งที่ผมเคยเลือก แต่วันนี้ผมตัดสินใจจะเลือกทางอื่น

“อะไรจะเกิดขึ้นกับเราไม่สำคัญเท่ากับว่าเรารู้สึกอย่างไรกับเหตุการณ์นั้น” ข้อคิดของพระอาจารย์แว่วดังเตือนสติ ผมจึงมีโอกาสได้ใคร่ครวญมองแง่บวกของการเกือบตกเป็นเหยื่อของโจรล้วงกระเป๋า

ย้อนระลึกถึงจังหวะที่ผมสบตานักล้วงคนนั้น ผมมองเห็นความต้องการปัจจัยแห่งการดำรงชีวิต เห็นแววตาแห่งความละอายและหม่นเศร้า ชีวิตของนักล้วงคงลำบาก ไม่น่าอภิรมย์นัก นั่นทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกเห็นใจ ปรารถนาให้เขาประสบชีวิตที่ดีขึ้นในอนาคต

ผมยังถือเขาเป็นครู ผู้สาธิตวิธีการลักทรัพย์อย่างแยบคาย เตือนข้าพเจ้าว่าในที่แปลกถิ่นใดๆ อย่าได้ประมาทเลินเล่อ ขโมยขโจรอย่างเขาจะอยู่ที่ใดก็ได้ ให้ดูแลทรัพย์สินให้ดี เก็บทรัพย์สินปัจจัยให้ดี จงมีสติในตนทุกเมื่อ โจรคนอื่นอาจไม่ปราณีเหมือนเขาผู้นี้ คิดได้ดังนี้ผมจึงรู้สึกขอบคุณในเหตุการณ์ดังกล่าว การเที่ยวหลังจากวันนั้นผมรอบคอบเรื่องการเก็บเงินทองขึ้นมาก การเดินทางทัศนศึกษาครั้งนี้ก็ปลอดภัยเรียบร้อยดี

ผมออกจากสถานีรถไฟมาด้วยสีหน้าแช่มชื่น กระชับกระเป๋าคาดเอวเป็นแม่นมั่น การคิดแก้ปัญหาโจรล้วงกระเป๋าทำให้ผมพบพบเทคนิคการผูกปมที่ซิบ การรูดซิบชิงทรัพย์ของผมคงยากขึ้นอีกชั้นหนึ่ง นี่คืออานิสงส์ของการเลือกทางแพร่งที่สองตามที่พระอาจารย์ได้บ่มสอน เมื่อพบเหตุร้าย อย่าเพิ่งคร่ำครวญตีโพยตีพาย ให้รู้จักเก็บเกี่ยวประโยชน์จากเหตุร้าย

แน่นอนว่าเราจะได้พบข้อดีและธรรมะเป็นกำไร

เอกภพ สิทธิวรรณธนะ

ผู้เขียน: เอกภพ สิทธิวรรณธนะ

Backstage writer, Urban sketcher