พุทธศาสนากับกระบวนการทางปัญญา

พระไพศาล วิสาโล 11 ธันวาคม 2005

กระบวนการทางปัญญานั้นจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยกระบวนการการเรียนรู้ที่ถูกต้อง  พุทธศาสนาเน้นมากในเรื่องกระบวนการการเรียนรู้  กระบวนการเรียนรู้ตามหลักพุทธศาสนานั้นเริ่มต้นตั้งแต่การได้ใกล้ชิดกับกัลยาณมิตรหรือสัตบุรุษ  เมื่อใกล้ชิดก็ได้สดับฟังสิ่งที่ดีงาม จนเกิดโยนิโสมนสิการตามมา  และนำไปสู่ธรรมานุธรรมปฏิบัติ หรือการปฏิบัติโดยสมควรแก่ธรรม  ทั้งหมดมี ๔ ขั้นตอนใหญ่ๆ

ขั้นแรกคือการได้ใกล้ชิดบุคคลที่ดีงาม  แล้วเกิดสุตะ คือการฟังรวมทั้งการอ่าน  แล้วเกิดการคิดที่ถูกต้อง  จากนั้นจึงนำไปสู่การปฏิบัติ  และเมื่อได้ปฏิบัติก็เกิดการเรียนรู้มากขึ้น  เมืองไทยตอนนี้ไม่ใช่ไม่มีกระบวนการการเรียนรู้ แต่เราเรียนรู้ไปในทางที่ผิด  กระบวนการเรียนรู้ทุกอย่างกำลังมุ่งไปสู่การกระตุ้นกิเลสเพื่อให้มีการบริโภคมากขึ้น  เวลานี้เด็กไทยจำนวนไม่น้อยรู้หมดว่าโทรศัพท์มือถือมีกี่ยี่ห้อ แต่ละยี่ห้อมีกี่รุ่น ทำอะไรได้บ้าง  นี่เป็นกระบวนการการเรียนรู้ที่รับใช้ระบบบริโภคนิยม มุ่งการเสพเสวยเพื่อสนองกิเลส  แต่กระบวนการการเรียนรู้ที่นำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีแทบจะขาดหายไป หรืออ่อนแรงลงมาก

ที่น่าเป็นห่วงอีกอย่างก็คือ การศึกษาที่มีเป้าหมายดีงามมักไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเรื่องกระบวนการเรียนรู้เท่าใดนัก แต่ไปเน้นหนักเรื่องการสอน  หัวใจของการศึกษานั้นไม่ได้อยู่ที่การสอน แต่อยู่ที่การเรียนรู้  หลายคนสามารถเรียนรู้ได้โดยไม่ต้องมีครูสอน  ทุกวันนี้เรามีผู้รู้ที่จัดว่าเป็น “แฟนพันธุ์แท้” ด้านต่างๆ มากมาย ไม่ว่าเรื่องลิเวอร์พูล ทศกัณฑ์ หรือพระเครื่อง  คนเหล่านี้ไม่มีครู แต่เรียนรู้ด้วยตนเอง เขาศึกษาเรื่องเหล่านี้จนชำนาญ  แต่คนเหล่านี้เป็นส่วนน้อย เพราะเวลานี้เราเน้นการสอนหรือการพูดมากกว่าการกระตุ้นการเรียนรู้

ขอให้สังเกตว่าพระพุทธองค์ก็ไม่ได้ใช้วีธีเทศนาสิ่งสอนอย่างเดียว  บ่อยครั้งพระองค์ใช้วิธีกระตุ้นให้คนคิดเองด้วยการตั้งคำถาม หรือย้อนถามกลับไป  บางทีก็ทรงชี้แนะให้เขาคิดจากประสบการณ์จริงๆ อย่างกรณีพระรูปหนึ่งซึ่งหลงใหลนางสิริมาซึ่งเคยเป็นนางคณิกาที่มีรูปร่างงดงาม แต่เมื่อตายก็ถูกนำศพไปไว้ที่ป่าช้า  เมื่อศพเริ่มจะเน่า พระองค์ได้พาพระรูปนั้นไปดูนางสิริมา  จากเดิมที่หลงใหลผู้หญิง พระรูปนั้นได้กลายมาเป็นโสดาบันโดยที่พระองค์ไม่ได้เทศนา เพียงแต่ทรงชี้ให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาจากศพของนางสิริมา ซึ่งเมื่อยังมีชีวิตอยู่มีคนต้องการอยากเข้าหา แต่พอกลายเป็นศพกลับไม่มีใครเอา

การเรียนรู้จากของจริง เป็นกระบวนการเรียนรู้อย่างหนึ่งที่พระพุทธองค์ใช้เพื่อนำไปสู่การบรรลุธรรม  ในสมัยพุทธกาลมีตัวอย่างแบบนี้มากมาก แต่ในปัจจุบันเรากลับเน้นที่การสอนของครูมากกว่าการเรียนรู้ของเด็ก  พูดเช่นนี้ไม่ได้ปฏิเสธการสอน เพียงแต่ต้องการบอกว่าการสอนเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา แต่ไม่ใช่ส่วนสำคัญที่สุดของการศึกษา  ส่วนที่สำคัญที่สุดของการศึกษาคือการเรียนรู้  การสอนอาจไม่ทำให้เกิดการเรียนรู้ก็ได้ หากสอนแบบยัดเยียดหรือไม่สร้างฉันทะให้แก่ผู้เรียน  ขณะที่การเรียนรู้นั้นสามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องมีผู้สอน  ขอให้สังเกตดูว่าเด็กๆ สามารถเรียนรู้อะไรต่ออะไรมากมายโดยไม่ต้องมีครูสอน เขาเชี่ยวชาญเรื่องโทรศัพท์มือถือ หรือเกมคอมพิวเตอร์ โดยไม่ต้องมีใครสอนเลย แต่เรียนรู้เองโดยอาจอาศัยข้อมูลที่ป้อนจากสื่อหรือโฆษณา  ที่จริงสื่อในปัจจุบันมีบทบาทมากในการส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็ก แต่ส่วนใหญ่เป็นการเรียนรู้ที่ไม่ถูกต้อง คือเป็นการเรียนรู้ที่ตอบสนองกิเลสหรือบริโภคนิยม

คำถามก็คือ ทำอย่างไรถึงจะส่งเสริมให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ที่นำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีงาม โดยมีปัญญาเป็นตัวขับเคลื่อน  นี่คือโจทย์สำคัญสำหรับผู้เกี่ยวของกับการศึกษา  เวลานี้เราไปเน้นเรื่องการศึกษาแบบในระบบมาก จนเข้าใจไปว่าการเรียนรู้เกิดขึ้นไม่ได้หากอยู่นอกระบบการศึกษาที่เป็นทางการ

แม้แต่คณะสงฆ์เองก็เน้นตรงนี้มาก จนสมัยหนึ่งถึงกับรังเกียจพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เนื่องจากท่านไม่ได้เรียนสูง  สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสโส) เมื่อครั้งเป็นเจ้าคณะมณฑลอีสาน ถึงกับขับไล่ท่านและลูกศิษย์ของท่านออกจากเขตปกครองของท่านเป็นประจำ เพราะเห็นว่าเป็นพระจรจัดไม่อยู่เป็นหลักแหล่งตามระเบียบคณะสงฆ์  แต่ตอนหลังสมเด็จพระมหาวีรวงศ์เกิดเกิดศรัทธาในพระอาจารย์มั่น  ในการพบปะคราวหนึ่งสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ถามพระอาจารย์มั่นว่า ทำไมพระอาจารย์มั่นจึงมีความรู้ทางธรรมเยอะทั้งๆ ที่ไม่ได้จบเปรียญ  สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ท่านจบประโยค ๙ ท่านเข้าใจว่าความรู้ทางธรรมต้องได้จากการเรียนนักธรรมบาลีเท่านั้น ท่านไม่เข้าใจว่าพระอาจารย์มั่นรู้ธรรมได้อย่างไร  พระอาจารย์มั่นตอบว่า “สำหรับผู้มีปัญญา ธรรมะมีอยู่ทุกย่อมหญ้า”  นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่าความรู้นั้นไม่ได้เกิดจากการสอนเสมอไป แต่เกิดจากการเรียนรู้ที่ถูกต้อง  ถ้าเรียนรู้เป็น ก็สามารถศึกษาได้จากทุกสิ่งรอบตัว ไม่เว้นแม้แต่ต้นไม้ใบหญ้าหรือป่าเขาอย่างที่พระอาจารย์มั่นเป็นแบบอย่าง

ถ้าเรียนรู้เป็น ก็สามารถศึกษาได้จากทุกสิ่งรอบตัว ไม่เว้นแม้แต่ต้นไม้ใบหญ้าหรือป่าเขา

พระพุทธศาสนาให้ความสำคัญกับเรื่องการเรียนรู้มาก คือเห็นว่าคนเราเรียนรู้ได้ตลอดเวลาและสามารถเรียนรู้ได้จากทุกสิ่ง  สรรพสิ่งสามารถสอนเราเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา  ท่านอาจารย์พุทธทาสได้ย้ำว่าเราควรรู้จักฟังเสียงต้นไม้พูด ฟังก้อนหินสอนธรรมะ แม้กระทั่งความเจ็บไข้ก็สามารถทำให้เราเกิดปัญญา  ท่านอาจารย์พุทธทาสชอบพูดว่า “ความเจ็บไข้มาเตือนให้เราฉลาดขึ้น”  จะเห็นได้ว่าทุกอย่างรอบตัวเราและที่เกิดขึ้นกับเราสามารถสอนธรรมให้เราได้หมด แม้กระทั่งความเจ็บไข้และความตาย  ถ้าเราเข้าใจและมีวิธีการเรียนรู้อย่างถูกต้อง เช่น มีโยนิโสมนสิการ คือการรู้จักคิด เราก็สามารถเรียนรู้ได้ตลอดเวลา  แม้กระทั่งจากความทุกข์ ความล้มเหลว ทุกอย่างสามารถเป็นครูได้หมด ไม่เว้นแม้แต่เด็กๆ หรือแมลงตัวเล็กๆ

ปัญหาก็คือตอนนี้กระบวนการเรียนรู้ของไทย นอกจากจะอ่อนแล้ว ยังพาไปในทางที่ไม่ถูกต้อง  คือกระตุ้นตัณหา ส่งเสริมบริโภคนิยม แถมยังเก่งในทางสนองกิเลสอีกด้วย  เดี๋ยวนี้เราเก่งมากในเรื่องทุจริต ไม่ว่าในวงราชการ ธุรกิจ หรือในวงการศึกษา ตั้งแต่โรงเรียนประถมไปจนถึงมหาวิทยาลัย มีการโกงข้อสอบกันอย่างแพร่หลาย และกำลังแทรกซึมไปถึงวงการสงฆ์  ตอนนี้สังคมไทยเป็นสังคมที่ทุจริตอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะว่าเราเก่งในเรื่องการเรียนรู้เพื่อสนองกิเลสด้วยวิธีที่เหนื่อยน้อยที่สุด แต่ไม่ได้ใช้ฉันทะหรือปัญญาเป็นตัวขับเคลื่อน

เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ในหมู่คนไทย เพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ที่มีฉันทะเป็นแรงจูงใจ  ไม่ใช่โลภะหรือตัณหา  เป็นการเรียนรู้ที่มุ่งศึกษาจากความจริงโดยไม่จำกัดที่ตำรา  เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ ทั้งบวกและลบ ทั้งจากความสำเร็จและความล้มเหลว  ทั้งนี้โดยมีเป้าหมายคือการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดี


ภาพประกอบ

พระไพศาล วิสาโล

ผู้เขียน: พระไพศาล วิสาโล

เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต และประธานมูลนิธิเครือข่ายพุทธิกา