ภาวะขาดสติพิเศษ

Phastory 30 พฤษภาคม 2010

ก่อนปีใหม่ได้รับข่าวการเสียชีวิตของเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้เป็นสภาพการตายที่ปรกติเท่าใดนัก เนื่องจากมิได้ค่อยๆ แก่ตัวและปลิดปลงราวกับใบไม้เหี่ยวเฉาร่วงหลุดหล่นจากต้น อีกทั้งมิใช่ป่วยตายอย่างคนอื่นเขา เธอประสบอุบัติเหตุอันผิดวิสัยธรรมดาจนกระทั่งเสียชีวิต เรื่องมีอยู่ว่า เพื่อนคนนี้เข้าไปห้ามไม่ให้คนบ้าทุบตีมารดาของตน ผลก็คือ เธอถูกคนบ้าทุบตีจนน่วมไปทั้งตัว จากนั้นก็ไปสิ้นใจตายที่โรงพยาบาล ทั้งๆ ที่ในสถานที่เกิดเหตุก็มีชาวบ้านรู้เห็นเหตุการณ์ แต่กลับมิได้ช่วยให้เธอรอดตายจากเคราะห์หนักครานี้เลย

หลังจากได้ฟังเรื่องราวของเพื่อนคนนี้ ไพล่ไปให้ระลึกนึกถึงเรื่องเก่าๆ สมัยเมื่อเธออยู่ทำครัวที่วัดแห่งหนึ่ง ในโรงครัวตอนนั้น มีกองฟืนที่คุณลุงหาฟืนทั้งหอบทั้งแบกขึ้นบ่าหามาจากในป่า วางซ้อนกันเป็นชั้นๆ สูงติดเพดานหลังคา เนื่องจากความเล็กและคับแคบของโรงครัวทำให้กองฟืนขยายพื้นที่ล้ำเข้ามาถึงบริเวณสถานที่ประกอบอาหาร วันหนึ่ง เธออดปากมิได้ จึงพูดโพล่งออกไปว่า “ลุง! มันจะไม่มีที่ยืนทำกับข้าวแล้วนะ เอาฟืนไปวางที่อื่นได้มั๊ย!!” แทนที่ลุงหาฟืนจะหยุดการขนท่อนไม้ หรือเอากองไม้เหล่านั้นลำเลียงเคลื่อนย้ายไปวางเสียซะที่อื่น เปล่าเลย แกกลับหยิบเอาท่อนฟืนฟาดกบาลคุณเธอเต็มๆ ยังดีที่สาวเจ้ารีบเผ่นแน่บในทันที มิเช่นนั้นคงอาจจะโดนอีกหลายกระบวนท่า

ลุงหาฟืนโดยปกติแล้วไม่ค่อยจะสุงสิงกับใครเท่าใดนัก วันดีคืนดีมีอารมณ์ศิลป์ขึ้นมา ลุงแกเอาไม้ล้มในป่ามาจัดวางและประกอบรูปทรงเสียใหม่ จนผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาเห็นเข้ายังทึ่ง เอ๊ะ! เหมือนช้างกำลังก้าวเดินนะนี่ แต่เพียงไม่กี่วัน หลวงพ่อก็บอกให้พระลูกวัดกับผู้ใหญ่บ้านช่วยกันรื้อเอาช้างไม้สุดปลื้มของลุงทิ้ง มันรกเกะกะทางเดินแถวนั้น แน่นอน ลุงโมโหงุ่นง่านเลย ด่าทอหลวงพ่ออยู่ซะหลายวัน แต่ก็ไม่เห็นหลวงพ่อบ่นว่าหรือจะเอาเรื่องกับลุงหาฟืนกระไรเลย

เรื่องราวที่เกิดขึ้นของลุงหาฟืนและเพื่อนผู้ล่วงลับ อาจเป็นเพียงเหตุการณ์หนึ่งที่ผ่านมาแล้ว ผ่านเลยไปและลืมได้แทบจะในทันที เมื่อมีเรื่องอื่นที่น่าสนใจมากกว่ามาให้เรารับรู้ ทั้งสองอาจมิใช่คนเด่นคนดังเป็นที่รู้จักหรือมีชื่อเสียงก็จริง และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หากจะดูกันตามเนื้อหาแล้ว มันธรรมดาเอามากๆ กะอีแค่ลุงหาฟืนไม่พอใจแม่ครัว เป็นเรื่องทะเลาะตีกันของชาวบ้าน และเรื่องราวความขัดแย้งกันของมนุษย์ ไม่เห็นจะมีอะไรน่าสนใจ “เป็นพิเศษ”

หากเราลองกลับไปพิจารณาดูสักนิด จะพบบางสิ่งที่เหมือนๆ กัน คือ ทุกเหตุการณ์เกิดขึ้นเร็ว จบเร็ว แต่ผลลัพธ์แตกต่างกัน อันแรกสุดหญิงสาวถูกคนบ้าตีจนตาย อันที่สองทำไม่ถูก พูดผิดหูนิดเดียว เป็นเรื่องโกรธเคืองกันทันทีเดี๋ยวนั้น อันที่สาม “ความเป็นพิเศษ (ช้างไม้)” ที่ถูกกระทบเพราะมันตั้งไว้ผิดที่  จากที่กล่าวมา ทุกเรื่องล้วนเกิดขึ้นได้กับเราทุกคน แน่นอนอยู่ว่า คงไม่มีใครจะเจอแจ็คพ็อต คือ จู่ๆ เดินไปบนถนนแล้วถูกคนบ้าตีตาย แต่ถ้าลองคิดเปรียบความเป็นบ้า เป็น “ภาวะขาดสติ” ที่จะเกิดขึ้นกับคนๆ หนึ่ง กระทั่งเขาหรือเธอขาดสติและไม่สามารถยับยั้งชั่งใจได้ล่ะ โอกาสที่เราจะเจอะเจอคนที่กำลังประสบสภาวะอารมณ์แบบนี้ มันก็มีความเป็นไปได้สูงทีเดียว จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

งั้น เรามาลองดูเหตุการณ์ที่หนึ่งก่อนเลยเป็นไง คำถามแรก “มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?” คนบ้าตีคนตาย ทั้งๆ ที่มีคนรู้เห็นเหตุการณ์อยู่ด้วย ขอตอบว่ามันก็เป็นไปได้นะ ถ้า ๑. คนที่เข้าไปช่วย กว่าจะมาพบเจอเรื่องก็ช้าไปแล้ว  ๒. ดูๆเหตุการณ์อยู่แต่ไม่ได้ตัดสินใจเข้าช่วยเหลือในทันที  ๓. รู้ทั้งรู้ แต่ไม่คิดจะช่วย เพราะไม่ใช่เรื่องของตัว  ๔. เข้าไปช่วยในทันทีที่พบ แต่ผู้ตายถูกทำร้ายโดนจุดสำคัญไปแล้ว  และ ๕. มันเกิดขึ้นเร็วมากซะจนจะทำอะไรก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว

ข้อ ๑ กับข้อ ๕ คล้ายกัน เป็นเรื่องของความบังเอิญหรือจับพลัดจับพลูเข้าไปร่วมอยู่ในเหตุการณ์  สำหรับข้อ ๒ กับข้อ ๓ ก็เป็นไปในทำนองเดียวกันคือประเมินสถานการณ์ ก่อนจะตัดสินใจทำอะไรลงไปหรือไม่ทำอะไรเลย  ส่วนข้อที่ ๔ ตัดสินใจฉับไว การช่วยเหลือผู้อื่นจะด้วยสติหรือเป็นไปตามสัญชาตญาณ ก็สุดแล้วแต่ การช่วยคลี่คลายสถานการณ์อันตึงเครียดให้กลับเข้าภาวะปกติให้เร็วที่สุด ย่อมดีทั้งนั้น แม้ผลลัพธ์ที่ออกมาอาจไม่ได้เป็นไปอย่างที่ตั้งใจเอาไว้แต่แรก ทว่าได้ช่วยเหลือตามสามัญสำนึกหรือตามมโนธรรมแล้ว นั่นย่อมไม่รู้สึกผิด หรือกลับมาตำหนิตนเองได้ อีกทั้งจะได้ไม่ต้องมาสำนึกเสียใจในภายหลัง ถ้างั้นคงเดาข้อ ๒ กับ ๓ ได้ไม่ยากเลยว่า คนเหล่านี้จะรู้สึกอย่างไรต่อไป แต่ที่ไม่ต้องเดาต่อ บอกได้เลยว่า เพื่อนผู้ล่วงลับก็เป็นผู้ช่วยเหลือในแบบข้อ ๔ เช่นกัน ทว่าการช่วยเหลือครั้งนี้ได้กลายเป็นครั้งสุดท้ายของเธอเอง

หากได้ช่วยเหลือผู้อื่นตามสามัญสำนึกหรือตามมโนธรรมแล้ว เราจะไม่ต้องรู้สึกผิดหรือกลับมานึกเสียใจภายหลัง

ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอในโรงครัวนั้น อาจจะเกิดขึ้นกับเราคนใดคนหนึ่งก็เป็นได้ ทั้งๆ ที่มันเหมือนไม่น่าจะเป็นเรื่องขึ้นมา แต่ก็หาเรื่องให้จนได้เพราะคำพูดที่เราไม่เท่าทันเอง ทั้งการฟังทั้งการพูดสองฝ่ายล้วนเสียประโยชน์ พูดไปตามอารมณ์ไม่ระวัง และไม่ฉุกคิดเมื่อได้ยิน เพราะฟังแต่ที่เขาว่าเรา เผลอขาดสติไปแล้ว ไม่รู้ตัว ไอ้ครั้นผู้ที่พอจะไหวตัวได้ทัน ก็มิใช่รู้สึกตัวอย่างฉับพลันทันใดหลังจากเผลอพูดออกไปแล้ว ทว่าต้องถูกฟาดกบาลเสียทีหนึ่งก่อนจึงจะรู้สึกได้  เรื่องนี้บอกให้รู้ว่า เพียรเจริญสติ รู้เนื้อรู้ตัวให้บ่อยเข้าไว้ ถึงแม้เราจะอยู่ในวัด นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีเรื่องราวอันตรายใดๆ เกิดขึ้น  ดีไม่ดีฟืนหนึ่งท่อนอาจใหญ่คับที่เสียจนกระทั่งไม่เหลือที่ว่างให้รู้สึกเห็นใจใครเลย ด้วยเหตุที่การหาฟืนและการทำครัว (หน้าที่การงาน) อาจทำให้เราหลงสำคัญตัวผิด จนไปเบียดเบียนทำร้ายกันและกันอย่างเป็นจริงเป็นจังได้ หากยังไร้สติกันอยู่เรื่อยไปไม่รู้ตัวเลย

และเรื่องสุดท้าย ช้างไม้กำลังก้าวเดินคงทำให้ลุงแกโกรธน้อยลงได้ ถ้าลุงมีจินตนาการสักหน่อย ก็ช้างมันเดินหนี หายเข้าป่าไปแล้ว จะให้มันอยู่นี่ได้ไง อยู่ป่านั่นแหละดีแล้ว เป็นที่ของมัน คนเขาจะได้ไม่ไปกวนใจ เอาไว้อยากเจอค่อยไปตามหา

ของที่อยู่ผิดที่ผิดทางพอวางให้ถูกที่ มันจะเป็นอะไรล่ะ มันก็ไม่เป็นอะไรของใครน่ะสิ  เหมือนไปเอาเรื่องที่ไม่ใช่เรื่อง จะให้เป็นเรื่องได้ไง คงต้องให้เป็นเรื่องตามครรลองต่อไป สร้างโครงช้างให้เป็นตัวและก้าวออกเดินแล้ว หลวงพ่อท่านก็แค่ปล่อยให้ช้างมันเดินไปตามทางของมันเท่านั้นเอง ลุงแกทำให้คนอื่นเห็นว่าเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่รึ แล้วจะให้ช้างมันอยู่ตรงนั้นกลายเป็นซุ้มไม้เลื้อย มันก็ไม่มีทางเดินไปต่อน่ะสิ ช้างตัวใหญ่มันจึงออกเดินไปตามทางที่เห็นกัน ทางนี้ย่อมสะดวกให้คนอื่นใช้เดินต่อ หากคิดได้อย่างนี้ ช้างของลุงก็จะกลายเป็นช้างไม้ที่ไม่ใช่เพียงใครกระทบถูกไม่ได้เท่านั้น แต่ยังเป็นพิเศษ เพราะมันเดินหนีไปไหนต่อไหนได้เอง ไม่ได้ถูกล่ามไว้เหมือนช้างเลี้ยง เป็นเหมือนช้างป่าธรรมดาทั่วไป  นี่ขนาดแค่ช้างไม้นะยังเป็นเรื่องให้โมโหได้ ถ้าเป็นช้างไม้เมืองทรอยเอ้ยม้าไม้ พากันลากเข้ามาทำลายเมืองตัวเอง ยังจะเห็นเป็นของพิเศษอยู่รึเปล่า


ภาพประกอบ