รู้เท่าทันความสุข

ปรีดา เรืองวิชาธร 13 เมษายน 2008

ว่ากันถึงความสุขของมนุษย์เรานั้น มีความหยาบความละเอียดประณีตต่างกันหลายชั้นหลายมิติ  แต่ถึงจะหยาบหรือประณีตอย่างไร เราทุกคนก็ล้วนต้องการความสุขในทุกมิติทั้งสิ้น เพียงแต่บางช่วงบางขณะของชีวิตอาจต้องการความสุขบางมิติมากกว่ามิติอื่น  ความสุขขั้นพื้นฐานคือ สุขที่เกิดจากการมีปัจจัยพื้นฐานเพื่อดำรงชีพอย่างเพียงพอ รวมถึงมีทรัพย์สินเงินทองไว้ใช้สอยบริโภค  มาระยะที่สังคมเราเป็นสังคมบริโภคนิยมเข้มข้นรุนแรงขึ้นนั้น ความสุขอันเกี่ยวเนื่องกับวัตถุได้รวมเอาถึงสุขจากการได้ซื้อหรือการได้ครอบครองเป็นเจ้าของแม้จะแทบไม่ได้เสพบริโภคเลยก็ตาม ซึ่งสุขจากเพียงแค่ได้ครอบครองโดยเฉพาะสิ่งของใหม่ๆ มักจะมีพลังดึงดูดให้เกิดการขวนขวายแสวงหาอย่างมหาศาล แต่คุณภาพความสุขกลับไม่ประณีตลึกซึ้งแถมยังวูบไหวจางคลายลงไปอย่างรวดเร็ว

ความสุขที่ละเอียดประณีตขึ้นจากชั้นแรกก็คือ สุขจากการมีสุขภาพดี ได้อาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี สุขจากการได้รับความสำเร็จก้าวหน้าในหน้าที่การงาน รวมถึงสุขจากการได้ทำหรือได้เป็นอะไรสมอยากตามที่ฝัน เช่น อยากทำหนังทำละคร หรืออยากเป็นนักเขียน นักดนตรี เป็นต้น  ซึ่งความสุขในชั้นนี้ก็มักมีความสุขจากชั้นแรกเป็นบันไดในการสร้างสุขในชั้นนี้

ความสุขที่ละเอียดประณีตขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง ก็มักจะเป็นสุขจากการได้รับความชื่นชมยอมรับจากผู้อื่น  อีกแง่หนึ่งก็หมายถึงสุขจากการได้รับความเคารพความศรัทธา รวมถึงสุขที่เกิดจากความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเรากับคนอื่นในครอบครัวหรือองค์กรเดียวกัน  กล่าวคือมีความสามารถที่จะปรับตัวอยู่ร่วมกันได้ดีแม้จะมีความแตกต่างขัดแย้งกันก็ตาม  อีกแง่หนึ่งที่สำคัญของความสุขระดับนี้ก็คือ สุขจากการได้ช่วยเหลือแบ่งปันให้กับผู้อื่นหรือสุขจากการได้ทำดีเพื่อคนอื่น เป็นต้น

ความสุขที่ละเอียดประณีตขึ้นมาอีกชั้นก็คือ สุขจากการที่จิตใจมีความแช่มชื่นเบิกบาน เป็นสุขที่เกิดจากการฝึกฝนใจให้สงบและตั้งมั่น หรือสุขจากการทำสมาธินั่นเอง  ในมิตินี้ยังรวมถึงความสุขที่เกิดจากการที่เรามีความสามารถอันแท้จริงในตนจนเกิดความมั่นใจภายใน มีความกล้าหาญที่จะคิดและตัดสินใจทำ  อีกแง่หนึ่งที่สำคัญในระดับนี้ก็คือ สุขที่เกิดจากการมีจิตใจที่มีความซื่อสัตย์มีความดีงามเป็นพื้นฐาน จนดำเนินชีวิตอย่างไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังกลัวเกรงว่าคนอื่นจะจับผิดเราได้

ความสุขในแต่ละชั้นทั้งหยาบและประณีตล้วนสัมพันธ์กันเป็นปัจจัยหนุนเสริมให้แก่กัน  ดังนั้นหากเรามุ่งแสวงหาความสุขเฉพาะเพียงบางชั้นบางมิติ ก็อาจทำให้ความสุขโดยรวมขาดหายไปหรือกลับกลายเป็นความทุกข์เข้ามาแทนที่  ด้วยเหตุนี้เราจึงควรแสวงหาความสุขอย่างสมดุลไม่สุดโต่งไปด้านใดด้านหนึ่ง  ความสุขที่เกิดขึ้นจากหลายชั้นหลายมิติย่อมทำให้ชีวิตมีความชุ่มชื่น อิ่มเอมและเบิกบาน โลกรอบตัวมีความสดใสมีชีวิตชีวา จนทำให้รู้สึกได้ว่าการดำเนินชีวิตนั้นเต็มไปด้วยคุณค่าความหมายและความหวัง

ความสุขของมนุษย์ มีทั้งความหยาบและความละเอียดประณีตต่างกันหลายชั้นหลายมิติ โดยเราทุกคนล้วนต้องการความสุขในทุกมิติทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตาม แม้ความสุขจะทำให้เกิดผลดีหลายด้าน แต่ความรู้สึกเป็นสุขซึ่งไม่ว่าจะอยู่ในชั้นใดมิติใดก็ตามก็มักจะมาพร้อมกับการยึดติดความสุข รู้สึกอยากเสพอยากอยู่ในสภาวะนี้นานๆ  ภาวะที่ติดสุขอย่างไม่รู้เท่าทันมักจะทำให้ชีวิตเกิดความประมาทโดยหลงลืมหรือมองข้ามความจริงว่า ความสุขทั้งหลายเกิดขึ้นแล้วก็พร้อมจะพลิกเปลี่ยนสูญสลายกลายเป็นความทุกข์ได้ทุกขณะของชีวิต ทั้งนี้ก็เพราะความสุขเป็นสังขารอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นและผันผวนปรวนแปรไปตามเหตุปัจจัย  ความประมาทต่อความสุขที่ว่านี้มักจะทำให้เราติดยึดจมแช่อยู่กับความสุข จนปฏิเสธหรือหลีกหนีความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นข้างหน้าอย่างไม่รู้ตัว  ยิ่งเสพติดจมแช่ความสุขอยู่เนิ่นนานเท่าใด ก็ยิ่งง่ายที่จะปฏิเสธหรือกลัวการเปลี่ยนแปลงนานาชนิดที่กำลังจะเกิดขึ้น

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะภาวะการเสพติดความสุขมักจะลดทอนความสามารถในการกล้าเผชิญความทุกข์และการเปลี่ยนแปลง รวมถึงลดทอนไหวพริบปฏิภาณการแก้ไขปัญหาในชีวิต ดังเช่นหากวันใดวันหนึ่งที่เราไม่มีโทรศัพท์มือถือใช้หรือคอมพิวเตอร์เกิดเสียทั้งวัน วันนั้นจะเป็นวันที่เราหงุดหงิดงุ่นง่านใจไปทั้งวันเลย ทั้งที่เดิมหลายปีก่อนที่เราไม่มีเทคโนโลยีเหล่านี้เราก็อยู่อย่างมีความสุขได้มิใช่หรือ  หรืออย่างคนที่ดูแลสุขภาพดีมาโดยตลอด แต่พอต้องถึงคราวป่วยเป็นโรคร้ายก็ทำใจยอมรับไม่ได้  กับคนดีที่ซื่อสัตย์ซื่อตรงมาโดยตลอดก็เช่นกัน หากเพียงมีใครคลางแคลงใจในความดีของเขาก็ทำใจยอมรับไม่ได้เอาเลย เป็นต้น

ดังนั้น หากจะดำรงอยู่อย่างมีความสุขโดยไม่ถูกความสุขขบกัดจนเป็นทุกข์ ก็จำต้องเข้าใจความเป็นธรรมดาของความสุข ตระหนักรู้ชัดว่าความสุขนั้นผันผวนปรวนแปรไปตามเหตุตามปัจจัยอยู่เสมอ และสามารถพลิกเปลี่ยนเป็นความทุกข์ได้ง่ายหากเราประมาทหรือไม่มีสติรู้เท่าทัน  ด้วยเหตุนี้ขณะที่เรากำลังเป็นสุข ก็ควรเตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับความทุกข์ความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น  บางช่วงของชีวิตอาจต้องลองออกไปจากพื้นที่สุขสบายอันคุ้นเคยบ้าง เพื่อไปสัมผัสโลกและชีวิตที่เป็นอีกด้านหนึ่งของความสุข เพื่อจะได้ทดลองหรือฝึกซ้อมกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน  เช่นการออกไปสัมผัสกับความทุกข์ของคนยากไร้ ไปเยี่ยมผู้พิการหรือไปดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายเป็นต้น  การออกไปจากพื้นที่เป็นสุขปลอดภัยอันคุ้นเคยบ้างมักจะทำให้เราไม่ประมาท เพราะหากได้ลองจินตนาการว่าถ้าเราประสบอยู่ในภาวะเดียวกับเขาเหล่านั้นแล้ว เราจะเตรียมตัวเตรียมใจรับมืออย่างไร

ประการสุดท้ายในที่นี้ก็คือ หากจะแสวงหาความสุขในแต่ละชั้นที่กล่าวมานี้ ก็ควรไปให้ถึงความสุขที่ละเอียดประณีตขึ้นมาอีกชั้นหนึ่งก็คือ สุขที่เกิดจากการใคร่ครวญมองเห็นความจริงของโลกและชีวิตว่า ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้แน่นอนเลย ดำรงอยู่กับทุกสิ่งอย่างรู้เท่าทันว่า ทุกสิ่งล้วนเป็นของชั่วคราวทั้งสิ้น  มีและเป็นอย่างไม่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวกูของกู  ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขก็ไม่สามารถทำให้เราหวั่นไหวขึ้นลงได้ง่ายเป็นแน่แท้


ภาพประกอบ

ปรีดา เรืองวิชาธร

ผู้เขียน: ปรีดา เรืองวิชาธร

สนใจและศึกษาเรื่องการเรียนรู้แนวจิตวิญญาณและกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม โดยเป็นกระบวนกรให้กับเสมสิกขาลัยนับแต่ปี 2546 จนถึงปัจจุบัน