เพียงเปล่งเสียงตามบทสวดมนต์ ก็เปลี่ยนใจเราแล้ว

สุวีโร ภิกขุ 21 มีนาคม 2010

อาจารย์ที่น่าเคารพของข้าพเจ้าท่านหนึ่งกำลังสนใจเรื่องการปฏิบัติภาวนา แต่ด้วยอายุวัยและสังขารร่างกายที่ไม่ใคร่จะเอื้ออำนวยนัก ไอ้ครั้นจะมาเดินจงกรมหรือนั่งสมาธิ เธอว่า (เคยลองฝึกดูแล้ว) ไม่ไหวแน่ๆ เธอจึงหันมาอ่านหนังสือกับฟังซีดีธรรมะ เพื่อทำความเข้าใจด้วยตัวเองแทน ซึ่งมันก็น่าจะเป็นไปได้จริงมากกว่า ใช่ไหม? แต่หลังจากได้อ่านอยู่หลายปี ได้ฟังมาปีหนึ่ง กลับมองไม่เห็นความก้าวหน้าหรือการเปลี่ยนแปลงอันใดที่น่าพึงพอใจในตัวเองเอาเสียเลย

อีกทั้งในช่วงเวลานี้หลังเกษียณยังต้องรับหน้าที่ดูแลมารดาวัยชรา ซึ่งป่วยไข้ด้วยโรคอันเกิดจากความเสื่อมของสมอง ก่อนออกจากบ้านมาทำงาน (หลังเกษียณยังรักที่จะทำงานช่วยเหลือผู้อื่นต่อไป) จึงต้องตระเตรียมอาหารและสิ่งจำเป็นทิ้งเอาไว้ให้ผู้ดูแล อาหารเหลวที่เป็นของย่อยง่ายเหมาะกับวัย กลับมิใช่ว่าจะบริโภคเข้าไปได้ง่ายอย่างที่คิด หลายครั้งหลายหนอาจารย์จำต้องบังคับให้คุณแม่ทานเข้าไป บ่อยครั้งจึงมีปากเสียงกระทบกระทั่งกัน จนถึงขั้นคุณแม่ไม่ยอมกินและยังแถมคำด่าทอให้พรตามมาหลายชุด ซึ่งอาจารย์ก็น้อมรับด้วยความโมโหและพกติดใจเอาไปด้วยทุกเวลา ความรู้สึกไม่สบายใจจึงเกิดขึ้นเวียนวนไปมาพร้อมๆ กับกิจกรรมภายในบ้าน

เธอถามตนเองว่า ทำไม? ทำดีแล้วยังทุกข์อีก ยิ่งกระทำต่อมารดาด้วยแล้ว ไฉน? เราจึงหาความสงบสุขภายในใจกับสิ่งดีๆ ที่ทำให้ไม่ได้เลย  เพื่อนๆ และลูกศิษย์ต่างก็ช่วยพูดให้กำลังใจกัน “ในเวลาอย่างนี้ เป็นโอกาสที่ดีแล้วล่ะที่จะได้ทำความดีตอบแทนกลับคืน” นั่นสินะ แล้วถ้ามันดีจริง ทำไม? ครูถึงได้เป็นทุกข์และกลุ้มใจอย่างนี้ล่ะ

เคยสังเกตเห็นบ้างรึเปล่าว่า เพราะเหตุใด?…คุณความดีที่คิดเอาไว้และได้ทำต่อใครบางคนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จึงสามารถย้อนกลับมาสร้างความทุกข์บั่นทอนจิตใจตัวเอง หรือว่าเคยบ้างไหม? ที่จะรู้สึกกังขาต่อความดีงามที่ตนเองกระทำให้กับผู้อื่น…ว่า มันคงจะไม่ดีจริง หรือมันดีได้ไม่สมดีใช่ไหม? ถึงไม่สามารถเติมเต็มหัวใจเรา หรือว่ามีความต้องการทำดีเพื่อประโยชน์อื่นๆ ไปตามเรื่องตามราวในแต่ละเหตุการณ์

คุณงามความดีมันก็ดีในแบบของมันอยู่หรอก ทว่ามันอาจไม่ได้ดีสมใจเราจริงๆ เท่านั้นเอง  ถ้าอย่างงั้น…จะทำดีไปทำไม? หากมันไม่เห็นผลอย่างที่คิด อีกทั้งยังเข้าไม่ถึงจิตใจเรา แค่ทำดีแต่ไม่หวังผล อย่างงั้นหรือ?  เพียรทำความดีเพราะเห็นว่ามันดีและทำได้ไม่เบียดเบียนใคร (รวมทั้งตนเอง) ก็เพียงพอแล้ว จะหาเหตุอ้างความชอบธรรมอันใดไปทำไมกัน เมื่อมิได้ทำเพื่อโอ้อวดหรือหวังผลอื่นใดแอบแฝง ส่วนที่ต่อจากนั้นจะเป็นไรไป หากแม้นจะเป็นทำดีไม่ได้ดีดังใจ ก็แค่รู้และยอมรับไปตามความเป็นจริงของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเราที่เป็นอย่างงั้นเอง

มีเพื่อนบางคนแนะให้อาจารย์ลองสวดมนต์ดู เพราะผู้แนะนำก็ได้รับประโยชน์อันเกิดจากการสวดมนต์มิใช่น้อย อันส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตไปในทางที่ดีขึ้น แต่พออาจารย์เริ่มต้นสวดมนต์จริงๆ ในใจกลับมีความคิดความเห็นมากมายให้ไม่ยอมโอนอ่อนตามภาษาที่ตัวท่านเองไม่เข้าใจ และด้วยความเป็นนักวิจัยของท่านเองจึงหาเหตุผลมาโต้แย้งในการสวดมนต์แต่ละครั้ง จนกระทั่งเลิกกิจกรรมนี้ไปในที่สุด

ในงานวิจัยร่วมกันของ ดร.แอนดรู ไวลด์ กับ ดร.ริชาร์ด เกอร์เบอร์ ในหนังสือชื่อ Vibration Medicine กล่าวเอาไว้ว่า พลังสั่นสะเทือนที่เราได้จากการท่องคาถาสวดมนต์นั้นเป็นยาวิเศษ หากร่างกายได้รับพลังจากการสวดมนต์นี้จะช่วยเยียวยาอาการของโรคที่อวัยวะส่วนนั้นๆ เพราะว่าคลื่นเสียงที่เปล่งออกมาจากการสวดมนต์ที่กระทบโสตประสาทการรับฟังด้วยความดังสม่ำเสมอและมีจังหวะความถี่ในระดับเดียวกัน จะสามารถกระตุ้นกระบวนการทำงานภายในร่างกายและฟื้นฟูสุขภาพให้ดีขึ้น เมื่อเซลล์ประสาทของระบบประสาทสมองสังเคราะห์สารสื่อประสาทหลายๆ ชนิดบริเวณก้านสมอง และหลั่งสารสื่อประสาทชื่อ ซีโรโทนิน (serotonin) ออกมาจากปมประสาท (synapse) เพิ่มขึ้น  ซีโรโทนินเป็นสารตั้งต้นสำคัญในการสังเคราะห์สารสื่อประสาทชนิดอื่นๆ เช่น เมลาโทนิน ซึ่งเปรียบคล้ายกับยาอายุวัฒนะ, โดปามีน มีฤทธิ์ลดความก้าวร้าวและอาการพาร์กินสัน นอกจากนี้ปริมาณของซีโรโทนินยังมีความสัมพันธ์ต่อการกระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาทอื่นๆ เช่น อะเซทิลโคลีน ช่วยในกระบวนการเรียนรู้และความจำ

ดังเช่นที่อาจารย์เสถียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต ได้เคยอธิบายว่า “เวลาเราสวดมนต์นานๆ คำแต่ละคำจะสร้างความสั่นสะเทือนไม่เท่ากันตามฐานที่เกิดของเสียง หรือตามวิธีเปล่งเสียง แม้ว่าเสียงจะออกมาจากปากเหมือนกัน แต่ว่าเสียงบางเสียงออกมาจากริมฝีปาก บางเสียงออกมาจากปุ่มเหงือก บางเสียงออกมาจากไรฟัน บางเสียงออกมาจากคอ ดังนั้นถ้าเราสวดมนต์ถูกต้องตามฐานกรณ์จะเกิดพลังของการสั่น (Vibration)”  พลังของการสั่นนี้จะเข้าไปเยียวยาอาการป่วย เสียงสวดมนต์จึงช่วยกระตุ้นต่อมต่างๆ ให้ทำหน้าที่ปราบเชื้อโรคบางชนิด  บทสวดมนต์ในพระพุทธศาสนา เสียงอักขระแต่ละตัวมีคำหนักเบาไม่เท่ากัน บางตัวสั่นสะเทือนมาก บางตัวสั่นสะเทือนน้อย ทำให้ต่อมต่างๆ ในร่างกายถูกกระตุ้นเมื่อต่อมที่ฝ่อถูกกระตุ้นบ่อยๆ เข้า ก็คงคืนสภาพ อาการป่วยก็จะดีขึ้น

ดร.แอนดรู ไวลด์ ยังกล่าวอีกว่า การหายใจเข้า-ออกยาวใน ๑ นาทีไม่เกิน ๖ ครั้ง ยังช่วยแก้ปัญหาอาการปวดหัวไมเกรน ความเครียด และโรคนอนไม่หลับ เป็นต้น เช่นนี้แล้วจะมีกิจกรรมใดที่ดีต่อร่างกายและทำได้ง่ายเท่ากับการสวดมนต์อีกเล่า เราจะสามารถหายใจยาวๆ ได้ในทันทีที่เปล่งเสียงออกมา

หากทำดีแล้วไม่ได้ดีดังใจ ก็แค่รู้และยอมรับไปตามความเป็นจริงที่กำลังเกิดขึ้นเท่านั้นเอง

หลังจากได้รับกำลังใจจากลูกศิษย์ลูกหาอย่างต่อเนื่อง เห็นจะไม่มีทางอื่นกระมัง ที่จะช่วยลดความไม่สบายใจได้ดีเท่ากับการสวดมนต์อีกแล้วในเวลานี้ อาจารย์ของข้าพเจ้าจึงกลับมาสวดมนต์อีกครั้ง  ทั้งๆ ที่รู้ความหมายของบทสวด แม้จะยังไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งกับเนื้อหาของบทสวดก็ตามที แถมเปิดอ่านท่องติดๆ ขัดไปอย่างนั้น หากท่านก็ยังทำอยู่เป็นประจำสม่ำเสมอ ซึ่งในที่สุดก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมขึ้นมา อาจารย์มีความสุข คุณแม่อาจารย์ก็มีความสุข พูดบ่นน้อยลง ยอมทานอาหารเหลวและมาร่วมสวดมนต์กับท่าน

“ภาษาพระฉันไม่คุ้นเอาซะเลย” นั่นมันก็ดีนะ จะได้ไม่มีอะไรให้ต้องไปคิดต่อ แค่ปากว่าตามไปด้วยใจที่ยอมทำและทำเต็มที่ เท่านี้ก็ดีแล้ว เป็นความดีที่ไม่เบียดเบียนใจ เพราะมันหยุดคิดและเลิกรากับความวิตกกังวลไปเลย พอเริ่มออกเสียงเปล่งคำอักขระต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ความคิดทั้งหลายก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว  อาจารย์บอกว่า “ถึงครูจะสวดมนต์ ก็สวดไม่คล่อง แถมยังสวดผิดๆ ถูกๆ แต่ไม่รู้ทำไม อะไรๆ ต่างๆ มันถึงได้ดีขึ้นมา”  นั่นสินะ มันดีก็ดีแล้วเนอะ เป็นความดีที่รู้จักยอมเปลี่ยนใจตัวเองให้กลับมาสวดมนต์อีกครั้ง ไงล่ะอาจารย์


ภาพประกอบ