เรือนร่างที่แปรเปลี่ยน

วิชิต เปานิล 19 มิถุนายน 2004

แม้คนเราจะรับรู้และเข้าใจกันดีว่าชีวิตเราจะต้องเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติ แต่ก็ใช่ว่ามนุษย์เราจะงอมืองอเท้ายอมรับการเปลี่ยนแปลงนั้นอย่างเฉยชา ความต้องการที่จะมีชีวิตอยู่อย่างเป็นอมตะ หรือแม้แต่การตั้งความหวังว่าร่างของเราที่หมดลมไปนั้นสักวันหนึ่งจะมีโอกาสกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ก็เป็นวัฒนธรรมที่พบเห็นได้มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ในดินแดนแทบทุกส่วนของโลก

ด้วยสติปัญญาของมนุษย์เราได้พยายามหาความรู้ประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือและเทคโนโลยีต่างๆ ขึ้นมาเพื่อที่จะต่อสู้กับความเปลี่ยนแปลงนั้น แม้จะยังไม่สำเร็จ แต่สำหรับคนสมัยของเราเทคโนโลยีเหล่านั้นก็ได้ทำให้เรามีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น สะดวกสบายขึ้น และดูเหมือนว่าเราจะสามารถควบคุมความเป็นไปของร่างกายเราได้มากขึ้นด้วย

ภาพที่แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จที่เด่นชัดที่สุดอย่างหนึ่งในการต่อสู้กับธรรมชาติของความเปลี่ยนแปลงในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา คือเรือนร่างของสตรี

หากจะย้อนไปสักยี่สิบปีที่แล้ว เราคงแทบจะนึกไม่ออกว่าผู้หญิงในวัยห้าสิบกว่าๆ ที่เรามักให้ลูกหลานเรียกอย่างให้เกียรติว่า “คุณป้า” ในอีก 2 ทศวรรษข้างหน้านั้น จะมีรูปร่างหน้าตาแทบจะไม่แตกต่างจากคนอายุยี่สิบกว่าหรือสามสิบต้นๆ ในยุคนั้นเลย

รูปร่างหน้าตาที่อ่อนเยาว์นี้ปรากฏให้เห็นได้อย่างดาษดื่นในวงการดารา นักร้อง นักแสดง รวมถึงนางแบบ และคนที่อยู่ในแวดวงสังคมชั้นสูงที่เรามักเรียกกันว่าไฮโซ

ความสำเร็จในการต้านความเปลี่ยนแปลงของสังขารร่างกายไปตามธรรมชาตินี้ ที่แม้คนในยุคปัจจุบันเองก็แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองก็คือ ความสามารถในการปรับเปลี่ยนร่างกายของผู้ชายให้กลายเป็นเรือนร่างของอิสตรีได้อย่างไม่มีที่ติของวงการแพทย์และความงาม

แม้เราจะรู้อยู่แก่ใจว่าความสำเร็จเหล่านี้ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นชัยชนะต่อธรรมชาติของมนุษย์ เพราะสักวันหนึ่งคนเหล่านี้ก็ต้องร่วงโรยและทอดทิ้งเรือนร่างนี้ไว้ให้ผุพังย่อยสลายกลับคืนสู่ธรรมชาติไม่ต่างจากบรรพบุรุษของเรา แต่ความสำเร็จเหล่านี้ก็เป็นกำลังใจให้ผู้ที่เกี่ยวข้องค้นคว้าต่อสู้กับธรรมชาติต่อไป เป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ ให้กับคนจำนวนหนึ่งที่เข้าถึงสินค้าและบริการเหล่านี้จนประสบผลสำเร็จในการสร้างเสริมเรือนร่างให้เป็นไปตามความต้องการของตน และเป็นความหวังให้กับคนอีกเป็นจำนวนมากในสังคมว่าสักวันหนึ่งตนจะสวยและสาวเหมือนคนจำนวนน้อยเหล่านั้น

คงออกจะเป็นคนขวางโลกจนเกินไป ถ้าจะบอกว่าการค้นคว้าพัฒนาเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องไร้สาระ ไม่มีประโยชน์ที่จะทำ

เพราะในยุคที่สิทธิมนุษยชนกำลังเฟื่องฟูทุกวันนี้ ผู้ที่มีผลประโยชน์จากธุรกิจนี้ก็คงออกมาอ้างสิทธิในการดำเนินธุรกิจที่ชอบด้วยกฎหมายเหล่านี้ได้ ส่วนผู้ที่สนใจรับบริการก็อ้างสิทธิที่จะทำอะไรต่อร่างกายตนเองโดยไม่ได้ไปสร้างความเดือดร้อนให้ใครได้เช่นกัน

แม้ความสำเร็จเหล่านี้ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นชัยชนะต่อธรรมชาติของมนุษย์ แต่ก็เป็นความสุขของคนจำนวนหนึ่งที่เข้าถึงสินค้าและบริการเหล่านี้ และเป็นความหวังให้กับคนอีกจำนวนมากในสังคม

ทุกวันนี้กระแสความสนใจปรับเปลี่ยนเรือนร่างของตนเองลักษณะนี้ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ในกลุ่มไฮโซหรือผู้ใหญ่ที่พอจะมีเงินมีทองเป็นของตนเท่านั้น แต่ก็กำลังได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลายในกลุ่มวัยรุ่นวัยเรียนจำนวนมาก

กลุ่มเยาวชนเหล่านี้จะเริ่มจัดการกับร่างกายของตนตั้งแต่จุดเล็กๆ ง่ายๆ เช่น การทำผิวกายให้ขาววันขาวคืนตามโฆษณา การเจาะอวัยวะต่างๆ หรือสักตามร่างกายมากเท่าที่จะกล้าหรือสามารถทำได้ ขยับขึ้นมาอีกก็เป็นแฟชั่นการจัดฟัน (โดยไม่มีความจำเป็นทางการแพทย์) รวมไปถึงการดูดไขมัน ลดความอ้วน ผ่าตัดเสริมจมูก ทำตา ตัดกราม เสริมหน้าอก และอีกสารพัดที่จะทำ

การเปลี่ยนแปลงเรือนร่างเหล่านี้บ่อยครั้งนำไปสู่อันตรายต่อสุขภาพ ที่หลายครั้งก็รุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิต แต่เมื่อเป็นแฟชั่น เป็นค่านิยม สิ่งเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เป็นความใฝ่ฝันที่วัยรุ่นต้องไขว่ค้าเพื่อหาเงินมาจัดการกับเรือนร่างที่ไม่พึงประสงค์ของตน ถึงรู้ว่ามีโอกาสเสี่ยง และยิ่งเสี่ยงมากขึ้นเมื่อตนเองมีเงินไม่พอและต้องไปพึ่งคลินิกเถื่อน แต่เมื่อเป็นความใฝ่ฝัน ความกลัวต่างๆ ก็ไม่สามารถยับยั้งความปรารถนานั้นได้

ยุคนี้แนวคิดใดๆ ก็ตามที่ขัดขวางการเติบโตของธุรกิจหรือระบบเศรษฐกิจแบบเสรี ยากครับที่จะหาแนวร่วมโดยเฉพาะจากทางภาครัฐ แม้เราจะเห็นถึงผลร้ายมากมายที่จะตามมาเนื่องจากการพัฒนาไปในด้านนี้ แต่มักสรุปลงตรงที่ไม่สามารถทำอะไรได้

ในภาวะที่หวังพึ่งใครไม่ได้นี้ ครอบครัวที่มีลูกมีหลานที่อยู่ในวัยรุ่นหรือกำลังจะก้าวเข้าสู่วัยรุ่นคงต้องออกแรงมากหน่อยในการที่จะหาเวลาพูดคุยกับลูกหลานของตน อย่ามองเพียงว่าปรากฏการณ์เล็กๆ ของร่างกายที่แปรเปลี่ยนไปนี้ เป็นความก้าวหน้า เป็นสีสันของสังคมยุคนี้

แต่นี่อาจเป็นสัญญาณเล็กๆ ที่แสดงให้เราเห็นความสำเร็จอีกขั้นหนึ่งของของกิเลสที่ทำให้เราหมกมุ่นอยู่กับเรือนร่างและตัวตนนี้ จนทำให้คนเราก้าวห่างและหลงลืมการพัฒนามิติด้านจิตใจของเราไป มรณสติอาจเป็นธรรมะข้อหนึ่งที่นำมาฉุดรั้งใจเราไว้ไม่ให้เห็นดีเห็นงามกับเทคโนโลยีเหล่านี้จนเกินเลยไป


ภาพประกอบ