เลือกอย่างฉลาด

วิชิต เปานิล 21 มิถุนายน 2009

หลายท่านอาจรู้สึกว่าทุกวันนี้ไม่ว่าเราจะอยู่ในวัยไหน ฐานะใด หรือทำงานอะไร ดูเหมือนว่ามีอะไรมากมายให้เราต้องเลือกอยู่ตลอดเวลา

ตั้งแต่เช้าเราต้องเลือกว่าจะใส่ชุดไหนไปทำงาน กินข้าวกับอะไร เดินทางโดยเส้นทางไหน ฟังข่าวสถานีไหน แล้วก็ตัดสินใจไปอีกทั้งวัน จนตกค่ำก็ต้องตัดสินใจเลือกจะดูโทรทัศน์รายการไหน ถึงเวลาจะนอนบางคนยังต้องเลือกว่า วันนี้จะใช้เครื่องสำอางชุดไหนบำรุงผิวดี

การมีโอกาสได้เลือก ได้ตัดสินใจถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เป็นเสรีภาพ เป็นความอิสระที่คนในยุคนี้ภาคภูมิใจ เพราะรู้สึกว่ามีอิสระเต็มที่ในการเลือกใช้ชีวิตของตนเอง

แต่ด้วยความซับซ้อนและมายาของโลกทุกวันนี้ สิ่งที่เราคิดว่าได้เลือกอย่างเต็มที่นั้น เมื่อมองในภาพรวมแล้วกลับเป็นเพียงส่วนเสี้ยวเล็กๆ ท่ามกลางความหลากหลายอีกมากมายที่เราอาจไม่เคยแม้กระทั่งคิดว่าจะยังมีทางเลือกแบบนั้นอยู่ด้วย

การไม่มีโอกาสได้เลือกของเราครอบคลุมตั้งแต่เรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ เช่น อาหารการกินที่ทุกวันนี้เราต้องกินผัก กินเนื้อสัตว์กันอยู่เพียงไม่กี่ชนิด ในขณะที่พืชผักแมลงและอาหารพื้นบ้านมีอีกมากมายที่อร่อยและมีคุณค่าทางอาหารสูง แต่เราไม่มีโอกาสได้ลิ้มลอง

รายการโทรทัศน์ปัจจุบันที่มีมากมายหลายช่องตลอด 24 ชั่วโมง แต่รายการในแต่ละช่องนั้นกลับแทบจะไม่มีความแตกต่างกันในเนื้อหาสาระเลย

ห้างสรรพสินค้าก็เช่นกันถึงแม้จะมีอยู่แทบทุกมุมถนน ไม่ว่าขนาดใหญ่โตแค่ไหนก็ตาม แต่แทบจะไม่มีสินค้าหรือบริการใดๆ ที่แตกต่างกันเลย

และด้วยความเคยชินกับพฤติกรรมที่ “คิดว่าตนได้เลือกแล้ว” เมื่อมีโอกาสให้เลือกได้จริงๆ หลายคนกลับไม่กล้าเลือกไม่กล้าลองในสิ่งแปลกใหม่

เราเลือกที่จะไม่ชิมอาหารพื้นบ้านแปลกๆ เช่นเดียวกับที่เราไม่เลือกที่จะใช้วิธีการพักผ่อนแบบอื่นที่นอกเหนือไปจาการนอนดูโทรทัศน์ และก็ไม่เคยคิดถึงการไปเลือกหาซื้อของที่อื่นนอกจากในห้างใหญ่ๆ เหล่านั้น

หลายๆ ครั้ง เราเลือกที่จะไม่เลือก โดยปล่อยให้คนอื่นมาช่วยเลือกแทน แม้เรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตอย่างเช่นการตายของเรา เราเลือกที่จะไม่พูดถึง ไม่บอกความตั้งใจของเราให้ญาติได้รู้ชัดๆ แต่ปล่อยให้เป็นเรื่องของหมอของพยาบาลให้มาเลือกแทนเราทั้งหมด

มายาภาพที่ทำให้ ‘คิดว่าตนได้เลือก’ ถือเป็นการลิดรอนสิทธิอย่างหนึ่ง และได้พัฒนาตนให้มีความแยบยลจนเราจับแทบไม่ได้

ด้วยความซับซ้อนและมายาของโลกทุกวันนี้ สิ่งที่เราคิดว่าได้เลือกอย่างเต็มที่ เมื่อมองในภาพรวมแล้วกลับเป็นเพียงส่วนเสี้ยวเล็กๆ

แต่เดิมการจำกัดสิทธิยังไม่ได้พัฒนาให้แนบเนียนมากนัก เราจึงมีการตั้งกฎระเบียบข้อห้ามให้ถือบังคับกันอย่างเคร่งครัด ผู้ที่ฝ่าฝืนก็มีบทลงโทษกันตรงๆ ให้หลาบจำ

แต่ทุกวันนี้วิธีการลิดรอนสิทธิทำได้อย่างแนบเนียนจนผู้ถูกลิดรอนสิทธิไม่รู้ตัว มิหนำซ้ำยังทำให้คนจำนวนมากวิ่งเข้าไปอยู่ภายใต้กรอบการจำกัดสิทธินั้นด้วยความยินดี

ในด้านการลงโทษผู้ที่ละเมิดกรอบที่จำกัดไว้ก็พัฒนาไปมาก ไม่มีการใช้กำลังบังคับ กักขัง หรือใช้ความรุนแรงให้รู้สึกระคายเคือง แต่กลับซุ่มออกฤทธิ์อยู่ในจิตใจลึกๆ คอยเตือนว่าเราได้เดินห้างที่เปิดใหม่หรือยัง มีเสื้อตามแฟชั่นที่มาใหม่หรือยัง ทำให้เรารู้สึกอยากอยู่ตลอดเวลา

สำหรับใครที่คิดว่าจะแหกวงล้อมนี้ไปสู่เสรีภาพ ต้องการสวยอย่างเป็นตัวของตัวเอง หรือจะสวยภายในอย่างเบญจกัลยาณี เธอก็จะถูกลงโทษแบบนิ่มๆ แต่บาดลึกไปถึงภายใน

เริ่มตั้งแต่ส่งผ่านคำพูดที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดีของเพื่อนฝูงหรือคนที่เธอรักและศรัทธาผ่านคำว่า ไม่สวย ไม่ดี เชย โบราณ หรือสุดโต่ง จนถึงอาจไม่อยากเดินด้วย เพื่อนชายก็เริ่มไม่อยากมองหรือเลิกคบไป

ภายใต้สังคมที่สร้างมายาภาพแห่งความจริงให้ดูเหมือนว่าเราได้เลือกอย่างหลากหลาย พร้อมทั้งมีกลไกป้องกันการแหวกวงล้อมที่ดูนุ่มนวลแนบเนียนนี้ ยากนักที่ใครจะท้าทายออกไปได้

หากมองในฐานะชาวพุทธที่ผู้สนใจศึกษาและปฏิบัติ ต้องบอกว่า นี่คือรูปแบบการปรับตัวของกิเลสไปอีกขั้นหนึ่งที่ควรต้องรู้เท่าทัน

เราคงต้องพยายามมองให้ออกว่าการเลือกและทางเลือกต่างๆ ที่มีในสังคมนั้น มันมีอยู่แค่นั้นจริงๆ หรือเปล่า หรือถูกสร้างขึ้นมาอย่างแยบยล เพื่อผลประโยชน์ของคนบางกลุ่มเท่านั้น

การมีชีวิตที่อิสระในโลกแห่งเสรีทุกวันนี้จึงไม่ใช่เรื่องง่าย คงต้องหมั่นหยิบอาวุธคือปัญญามาใช้คิดพิจารณาเรื่องราวต่างๆ ในสังคมนี้ให้มากขึ้น ไม่เช่นนั้นคงไม่เท่าทันกับความก้าวหน้าและความแยบยลของกิเลส

อย่างไรก็ตามการใช้ชีวิตที่อิสระมากขึ้นในแนวพุทธ ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นคนขวางโลก ต่อต้านสังคม หรือต้องอยู่อย่างสมถะแบบพระเท่านั้น

หัวใจของการใช้ชีวิตแนวพุทธน่าจะเป็น การอยู่อย่างรู้เท่าทัน เข้าใจความเป็นไปของสังคม ซึ่งจะทำให้เราไม่จมอยู่ในกระแสของการกินการใช้ เพื่อความสบายกายสบายใจ มีหน้ามีตาในสังคมไปวันๆ

การเลือกกินเลือกใช้เลือกปฏิบัติของชาวพุทธ จึงควรเป็นการเลือกที่ไม่ขัดแย้งกับหลักพื้นฐานในการพัฒนาตน กล่าวคือไม่เลือกสิ่งที่จะทำให้ศีลต้องด่างพร้อย และเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติสมาธิ เจริญปัญญา

เราอาจไม่จำเป็นต้องเลือกในสิ่งที่แตกต่าง แต่เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการเลือกนั้นควรต้องแตกต่าง


ภาพประกอบ