แด่รัก และสัมพันธ์

ชัยยศ จิรพฤกษ์ภิญโญ 27 มกราคม 2013

นิทานเรื่องนี้เริ่มต้นด้วยสามัญชนคนหนึ่งที่โชคชะตาและความสามารถบันดาลให้ชายหนุ่มคนนี้กลายเป็นพระราชาที่ยิ่งใหญ่ ควบคู่ไปกับพระราชินีที่ตกทุกข์ได้ยากมาด้วยกันจนกลายเป็นพระราชินี  นิทานเรื่องนี้น่าจะจบ ณ จุดนี้ด้วยบทลงเอยว่าทั้งสองครองรักและราชอาณาจักรอย่างมีความสุขชั่วกาลนาน แต่น่าเสียดายเพราะนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราว  ความร่ำรวยของพระราชาทำให้พระองค์เป็นที่ต้องตาต้องใจ จึงมีหญิงสาวหลายนางเข้ามาครองคู่เรื่อยๆ จนกระทั่งพระราชามีพระมเหสีรวมทั้งหมด ๔ นาง  ช่วงสำคัญของเรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อพระองค์ล้มป่วยและใกล้สิ้นพระชนม์  สิ่งที่พระองค์ต้องการคือ คำขอร้องให้พระมเหสีทั้ง ๔ เสด็จตามพระองค์ไปด้วยในดินแดนปรภพ

พระมเหสีคนที่ ๔ คือบุคคลที่พระองค์รักมากที่สุด ทุ่มเทความรัก ความสนใจ ทะนุถนอมอย่างมาก  แต่คำตอบที่ได้คือ ทันทีที่พระราชาตาย นางจะขอเป็นอิสระและใช้ชีวิตตามใจชอบ คบหาหรือแต่งงานกับใครก็ได้  ความผิดหวังจากคำตอบทำให้พระราชาคาดหวังกับ พระมเหสีคนที่ ๓ ซึ่งเป็นบุคคลที่พระราชาทุ่มเทเวลาให้มากที่สุด มักเยี่ยมเยียน พูดคุยปรับทุกข์ด้วยเสมอ ทุกข์ร้อนใจ สุขใจด้วยเรื่องใด พระราชามักปรึกษาด้วยเนืองๆ  แต่คำตอบที่ได้คือ พระมเหสีขอให้พระองค์ปล่อยวาง สิ่งที่มอบให้ได้มีเพียงความอาลัยรัก อย่างมากที่พระนางจะให้ได้คือ เสด็จส่งพระศพไปยังสุสานด้วยเท่านั้น และอาจระลึกถึงพระราชาในบางโอกาสเท่านั้น

ความผิดหวังครั้งนี้ทำร้ายจิตใจพระราชามาก  พระราชาจึงให้หา พระมเหสีคนที่ ๒ ซึ่งพระองค์ถือว่าในช่วงที่เป็นพระราชาตลอดมา พระองค์ไม่เคยทอดทิ้งเลย ทุ่มเทชีวิตจิตใจด้วยมากที่สุด  พระองค์คาดหมายมากที่สุดกับพระนาง แต่คำตอบที่ได้คือ พระนางเลือกที่จะรอคอยพระราชาคนใหม่มาดูแลพระนางต่อไป เชิญพระราชาเสด็จเพียงลำพังเถิด  ความผิดหวังครั้งนี้รุนแรงจนพระราชาไม่กล้าฟังคำตอบจากพระมเหสีคนที่ ๑ ซึ่งพระองค์ทอดทิ้งมาตลอด แทบไม่ใส่ใจเลย  แต่เรื่องราวผิดคาดเพราะ พระมเหสีคนที่ ๑ เลือกที่จะอยู่เคียงข้างและยินดีร่วมเดินทางไปดินแดนปรภพด้วย  พระราชายินดีอย่างยิ่ง แต่ก็รู้สึกผิด เสียใจกับตนเอง เนื่องเพราะการทอดทิ้ง ไม่ใส่ใจ ทำให้พระนางซูบผอมและหมองคล้ำราวหญิงชรา ทั้งที่พระนางเคยงดงามมาก่อน  แต่ก็สายเกินการณ์ ทั้งสองได้ตายลงและเดินทางไปปรภพด้วยกัน

นิทานเรื่องนี้เป็นอุปมาอุปไมยถึงความรัก ความสัมพันธ์ ที่เราล้วนต่างมีกับสิ่งรอบตัวทั้งบุคคลและสภาพแวดล้อม  ความตายของพระราชาเป็นสิ่งที่เกิดกับเราทุกคน และความพยายามนำสิ่งที่รักติดตัว ก็คือความยึดมั่นถือมั่นที่เรามีนั่นเอง

พระมเหสีคนที่ ๔ แท้จริงคือ ทรัพย์สมบัติ เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้สิ่งมีค่าต่างๆ ซึ่งเมื่อเจ้าของตายไป สิ่งเหล่านี้แม้เจ้าของยึดติดเพียงใด ก็ต้องถูกจัดสรรเป็นสมบัติของคนอื่นต่อไป  พระมเหสีคนที่ ๓ ก็คือ ครอบครัว ญาติสนิท มิตรสหาย  อย่างมากที่คนเหล่านี้ทำให้ได้คือ การให้ความอาลัยรัก การจัดการภารกิจที่คั่งค้างให้ แต่การให้ร่วมไปดินแดนปรภพก็เป็นคำขอร้องที่เกินเลย

ขณะที่ พระมเหสีคนที่ ๒ ก็คือ ตำแหน่ง หน้าที่การงาน ความรับผิดชอบ  เราทุกคนทุ่มเทกับเรื่องเหล่านี้มาก ทั้งชีวิตหลายคนถูกใช้กับเรื่องนี้  แต่เมื่อเราจากไป สิ่งเหล่านี้ก็มีคนรับช่วงต่อ  พระมเหสีคนที่ ๑ ก็คือ จิตวิญญาณของเรานั่นเอง  จิตวิญญาณในความหมายของ ความฉลาดทางสติปัญญาในการรู้จัก เข้าใจตนเอง เข้าใจชีวิต เข้าใจและเข้าถึงความจริงของชีวิต

พวกเราหลายคนมีชีวิตไม่ต่างจากพระราชา นับแต่เราเกิดจนตาย เราล้วนอยู่และสัมพันธ์กับสิ่งรอบตัวทั้งคนรัก ครอบครัว ทรัพย์สิน หน้าที่การงาน เพื่อน ฯลฯ แต่บุคคลที่เรามักสัมพันธ์และใกล้ชิดด้วยน้อยที่สุดคือ ตัวเราเอง  ทั้งที่ความเป็นตัวเราเป็นฐานเริ่มแรกของการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งรอบตัว  ความเป็นตัวเราเริ่มที่อุปนิสัยต่างๆ ในตัวเรา ความรู้สึกนึกคิด ความเชื่อ อคติ ค่านิยม การศึกษา ประสบการณ์ชีวิต ทัศนคติ รวมถึงจิตสำนึกในหน้าที่การงาน  องค์ประกอบความเป็นตัวเรา ก็คือส่วนผสมความเป็นตัวเราในการวางท่าทีและความสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ

นับแต่เกิดจนตาย เราล้วนอยู่และสัมพันธ์กับสิ่งรอบตัวมากมาย แต่บุคคลที่เรามักสัมพันธ์และใกล้ชิดด้วยน้อยที่สุดคือ ตัวเราเอง

นิทานเรื่องนี้ให้ภาพรวมในความสัมพันธ์ที่เรามีกับผู้คนและสิ่งรอบตัว และย้ำเตือนถึงความสำคัญในการไม่ละเลย การให้ความสำคัญกับสิ่งสำคัญที่สุดในตัวเราคือ จิตวิญญาณในตน  แต่สิ่งที่นิทานเรื่องนี้ไม่ได้ให้แนวคิดด้วยก็คือ ในความสัมพันธ์กับสิ่งรอบตัว เราสามารถใช้เป็นเวทีเพื่อเรียนรู้อันนำไปสู่การดูแลรักษาจิตวิญญาณในตัวเรา นำไปสู่การสร้างสรรค์มิตรภาพ เกื้อกูลทางจิตวิญญาณ และเอื้อเฟื้อแบ่งปันฉันเพื่อน ฉันกัลยาณมิตรได้

ความไว้วางใจ คือ องค์ประกอบและคุณสมบัติสำคัญของความสัมพันธ์  หากความสัมพันธ์นั้นมีความอ่อนไหวและเปราะบาง ความไว้วางใจก็ยิ่งมีความสำคัญมาก  พร้อมกับที่ความไว้วางใจก็ยังรวมถึงความไว้เนื้อเชื่อใจ ความมั่นคง ความศรัทธา  รวมไปถึงการมีสติปัญญา ความมีสัมปชัญญะ  ขณะเดียวกันความไว้วางใจก็ยังเกี่ยวพันถึงความกลัว พลังของความคาดหวัง ความต้องการ รวมไปถึงความทรงจำและการตีความประสบการณ์ต่างๆ ที่เคยผ่านมา  อดีตเป็นสิ่งที่เราทำอะไรไม่ได้  สิ่งที่หลงเหลือจากอดีตคือ ความทรงจำ และการตีความ มาเป็นความเชื่อประจำตัว  เราทำอะไรอดีตไม่ได้ เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้  แต่สิ่งที่เราทำได้คือ การทำความเข้าใจ การเท่าทันกับความเชื่อที่มีในตัวเรา การตระหนักรู้กับการตีความ มุมมองที่มีต่ออดีต และการสร้างทางเลือกให้กับตนเองแทนการกระทำตามความเชื่อแบบเดิมๆ

ความเชื่อที่อยู่เบื้องหลังในท่าทีความสัมพันธ์ จึงเป็นตัวแปรสำคัญที่กำหนดความสามารถและคุณภาพของความไว้วางใจ  เราแต่ละคนมีความเชื่อที่ซ่อนอยู่ คอยขับเคลื่อนวิธีคิด รวมถึงกำหนดท่าทีการดำเนินชีวิต เช่น โลกนี้ไม่ปลอดภัย โลกนี้ไม่มีอะไรฟรีๆ อยากได้อะไรต้องให้สิ่งนั้นก่อน หรือโลกนี้รักคนเก่ง ฯลฯ  ความเชื่อนี้ทำให้เรามีท่าทีตอบสนองความเชื่อข้างต้น เช่น เราดำเนินชีวิตด้วยความระมัดระวัง รอบคอบ จนถึงขั้นระแวง สงสัย ไม่ไว้วางใจอะไรง่ายๆ  หรือ เราดำเนินชีวิตด้วยการเล่นบทผู้ให้ ผู้ช่วยเหลือ แก่คนที่เราพึงใจ เพื่อคาดหวังการได้รับบางสิ่งจากคนพิเศษ กระทั่งการให้ความช่วยเหลือจนเป็นการจุ้นจ้าน ยัดเยียด  หรือเรามุ่งหมายเป็นคนเก่ง มุ่งมั่นเพื่อให้ได้การยอมรับในความสามารถ กระทั่งเราทุ่มเทพลังชีวิตเพื่อความสำเร็จ จนละเลยหรือหลงลืมเรื่องอื่นๆ

สิ่งรอบตัวมีแรงดึงดูดให้เราพุ่งตัวเข้าไป เสน่ห์ของสิ่งที่เรารักและสัมพันธ์ อาจเป็นความสุข ความพอใจจากการได้อยู่ร่วมกับสิ่งที่เราชอบ เราพึงใจ การได้รับการยอมรับ และชื่อเสียง  กระนั้นสิ่งเหล่านี้ก็อยู่ร่วมในช่วงขณะหนึ่งเท่านั้น วันหนึ่งสิ่งเหล่านี้ก็จะผ่านไป มีเพียงจิตวิญญาณในตัวเราที่เคียงข้างและอยู่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในตัวเรา ส่งเสียงแผ่วเบา ย้ำเตือนถึงความสำคัญและความจำเป็นที่เราต้องดูแล  หากเราพุ่งความใส่ใจไปที่โลกภายนอก เราจะไม่ได้ยินเสียงภายในจากจิตวิญญาณ ไม่ได้บำรุงรักษาให้เติบโต  จิตวิญญาณในตัวเราก็เติบโตได้เป็นเพียงต้นไม้ที่แคระแกร็นเท่านั้น


ภาพประกอบ

ชัยยศ จิรพฤกษ์ภิญโญ

ผู้เขียน: ชัยยศ จิรพฤกษ์ภิญโญ

นอกเหนือจากบทบาทนักเขียนประจำคอลัมน์ งานสำคัญ คือ กระบวนกร นักจิตปรึกษา, enneagram coach สนใจและรักที่จะทำงานด้านการทำงานเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงกับโลกภายในผ่านทักษะ ประสบการณ์เรียนรู้ทั้งงานอบรม การทำจิตปรึกษา และงานเขียน