ปีใหม่นี้ยายอายุใกล้ครบ 7 รอบ

นับแต่ลูกๆ เริ่มโต ยายก็ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมาเกือบครึ่งชีวิต

จนเมื่อราว 10 กว่าปีมานี้ ยายเริ่มเข้าสู่วัยที่ต้องมีคนดูแล  แม่จึงรับยายมาอยู่ด้วยกัน

มาอยู่ที่บ้านเรา ยายยังคงหยิบจับ ทำโน่นนี่อยู่ตลอดเวลาอย่างคนที่คุ้นเคยอยู่กับการทำงาน

ถากหญ้ารอบๆ บ้าน กวาดใบไม้ เห็นลูกหลานทำอะไรเป็นต้องเข้ามาหยิบจับร่วมทำด้วย

นานวันเข้ายามจะเดินออกไปนอกชายคา ยายต้องพึ่งไม้เท้า

ต่อมายายเดินเองไม่ไหว ได้แต่นั่งเจ่าอยู่บนแคร่หน้าระเบียงบ้าน

ใครผ่านไปมาหน้าบ้านเราก็จะเห็นยายนั่งอยู่ตรงนั้น

กี่ครั้งกี่วันกี่เดือนกี่ใครผ่านไปมา ก็จะเห็นยายนั่งอยู่ตรงนั้นเหมือนฉากหนังที่หยุดนิ่งของตัวละครวัยหนุ่มสาวที่ยังเคลื่อนไหวว่องไว

จนช่วงปีใหม่ที่แล้ว  จู่ๆ ยายก็ทรุดล้มลง แล้วลุกขึ้นยืนอีกไม่ได้

ตอนพายายไปโรงพยาบาลอำเภอ หมอจบใหม่ยังซักแม่อย่างฉงนว่า มีใครผลักยายหรือเปล่า

หมอคนรุ่นใหม่เข้าใจไม่ได้ว่าอยู่ๆ คนแก่จะทรุดล้มลงเองได้อย่างไร

แม่ต้องยืนยันหนักแน่นว่าตอนนั้นไม่มีใครอื่นอยู่ในบ้านเราแน่ๆ

ออกจากโรงพยาบาลมาแล้ว ยายอยู่กับการนอน ลุกนั่ง และถดไปโน่นนี่อยู่ภายในบ้าน

และจากนั้นมายายก็ดูชราลงมาก กระทั่งได้แต่นอนอยู่กับที่ในช่วงครึ่งปีหลัง

แต่สติและความจำของยายยังแจ่มใส

ยายจำอดีตได้นานไกล  จำคนที่มาเยี่ยมและพูดจาโต้ตอบได้รู้เรื่องเช่นคนปรกติ

สายตาก็ยังดี ผีเสื้อตัวใหญ่บินเข้ามาเล่นแสงไฟในบ้านตอนกลางคืน  ยายยังเรียกให้หลานมาดูว่านกอะไรบินเข้ามาในบ้าน

พอหลานบอกว่าเป็นผีเสื้อ

ยายบอก “อ้าว แมงบี้หรอกหรือ  แม่เฒ่าแลผ่านหมอกก็นึกว่าเป็นนก”

หมอกฝ้าขาวๆ เหมือนควันไฟนั้น ยายว่ามันเริ่มกลบดวงตาแกมาหลายปีแล้ว

ช่วงหลังมายายรู้ตัวว่าความจำของตนเริ่มขาดเป็นห้วงๆ

ยายว่าบางทีก็เผลอพูดจาอะไรออกไปเองโดยไม่ได้ตั้งใจ พอรู้ตัวก็นิ่งเสีย

ที่เป็นมากคือยายจะร้องเรียกคนนั้นคนนี้อยู่ตลอดเวลาทั้งกลางวันกลางคืน

ลูกหลานขานรับกันจนเหนื่อย

บางทียามดึกดื่นก็เงียบเฉยทำเป็นหลับกันไปเสียบ้าง

เรียกหลายคำไม่ขาน ยายก็ตะโกนขึ้นกลางความมืด “มันไปไหนกันหมด หลับเหมือนตายแล้วกันทุกคน”

ลูกหลานก็ได้แต่อมยิ้มกันอยู่ในความมืด

หลานบางคนแทนที่จะขาน ก็แก้ลำแกล้งหยอกยายด้วยการเรียกคืน

ยายคงงง หยุดเรียกไปสักพัก  แต่ไม่นานก็เรียกชื่อใครสักคนขึ้นอีก

ไม่ว่าจะขานตอบ จะขอร้อง จะเจรจาด้วยเหตุผลจนเป็นที่เข้าใจกันอย่างไร  เว้นช่วงไปสักพักเป็นต้องได้ยินเสียงตะโกนเรียกของยายดังขึ้นอีก

ชื่อที่ถูกเรียกหาติดปากมากที่สุด เป็นหลานสนิทที่ยายเรียกเขาว่า “ไอ้บ่าว”

ยามไอ้บ่าวเดไม่อยู่บ้าน คนอื่นต้องคอยสวมรอยขานแทนตอบรับยาย

ตอนหลังมานี้ แม่แทบห่างยายไปไหนไม่ได้เลย-แม้แต่เข้าครัว  พอไม่เห็นใครอยู่ในสายตาเสียงเรียกของยายก็จะดังขึ้นทันที

จนกว่าจะได้ยินเสียงขานตอบ หรือมีใครมาอยู่ใกล้ๆ

ไปเยี่ยมยายครั้งล่าสุดก่อนปีใหม่นี้

ตอนได้ยินเสียงยายร้องเรียก “ไอ้บ่าวๆ”

ข้าพเจ้าสวมรอยเป็นน้องชาย คอยขานรับ

สักพักยายเรียกอีก ก็ต้องคอยขานรับซ้ำๆ อย่างชวนขำขัน  แต่มากเข้าก็พาลรำคาญยายบ้างเหมือนกัน

ยายเรียกหนักเข้า แม่ก็ดุให้บ้าง  “เรียกทำไมนักเล่า?”

“เรียกให้มันจำได้นิ”  ยายโต้ตอบไม่ลดละ

“ก็ขานอยู่นี่ไง”  แม่ว่า

“ก็มันจำไม่ได้นี่นา…”

เสียงตัดพ้อของยาย ทำอารมณ์ต่างๆ ของข้าพเจ้าหายไปเป็นปลิดทิ้ง

ก็ยายเพียงแต่อยากจำลูกหลานไว้ให้ได้

จึงต้องคอยเรียกซ้ำๆ

เรียกซ้ำๆ ให้จดจำจนติดใจ-ไม่ลืม!


ภาพประกอบ

วีระศักดิ์ จันทร์ส่งแสง

ผู้เขียน: วีระศักดิ์ จันทร์ส่งแสง

เกิดในครอบครัวชาวสวนยางจังหวัดกระบี่ ทำงานเขียนสารคดีมา ๒๐ กว่าปี มีผลงานกว่า ๓๐ เล่ม เคยได้รับรางวัลชนะเลิศ "ลูกโลกสีเขียว" (ปี ๒๕๕๑) รางวัลชนะเลิศ "เซเว่นบุ๊ค อวอร์ด" (ปี ๒๕๔๙ และ ๒๕๕๔) ปัจจุบันเป็นผู้ช่วยบรรณาธิการนิตยสาร "สารคดี" โดยยังคงเขียนสารคดีอยู่เป็นประจำ