ขอให้รู้เนื้อรู้ตัว

พระไพศาล วิสาโล 12 เมษายน 2023

ในช่วงเทศกาลซึ่งเป็นปีใหม่แบบไทยๆ คนไทยนิยมไปหาคนเฒ่าคนแก่ รดน้ำดำหัว และขอพร ถือเป็นประเพณี

คนเฒ่าคนแก่สมัยก่อนจะให้พรแก่ลูกหลานสั้นๆ ว่า ขอให้รู้เนื้อรู้ตัว เป็นพรที่สั้นๆ แต่สมัยนี้ พรที่คุ้นเคยคือ ขอให้มี อายุ วรรณะ สุขะ พละ มีทรัพย์สินเงินทองไหลมาเทมา พรของคนเฒ่าคนแก่สมัยก่อนสั้น แต่มีคุณค่ามาก เป็นเรื่องของจิตใจล้วนๆ เพราะว่าความรู้เนื้อรู้ตัว ถ้าใครมี ก็จะมีแต่ความสงบเย็น

ที่รุ่มร้อน ที่เป็นทุกข์กัน ไม่ว่าจะเป็นความเศร้า ความโศก ความเครียด ความวิตกกังวล ความคับแค้น ความท้อแท้ พูดรวมๆ ก็คือ ความไม่รู้เนื้อรู้ตัวลืมตัว คนเราแม้จะมีเงินมีทองมากมายเพียงใดก็ตามถ้าไม่รู้เนื้อรู้ตัว อย่างน้อยก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ เครียดวิตกกังวลสารพัด แม้ว่าจะอายุยืนเป็นร้อยปีแต่ถ้าไม่รู้เนื้อรู้ตัว ก็เรียกว่าไร้ประโยชน์ การมีอายุยืนโดยตัวมันเองไม่ใช่เป็นสิ่งที่ดีเสมอไป เมื่ออายุยืนก็ตามมาด้วยความแก่ เกิดความข้องขัดในทางกาย จิตใจก็เริ่มเลอะเลือน สับสน ไม่ใช่เป็นพรที่พึงปรารถนาเลยเมื่อเทียบกับคุณค่าหรือพรอย่างอื่น

คุณยายคนหนึ่ง วันปีใหม่ก็ดี วันเกิดก็ดี ปกติก็จะมีลูกหลานมาเยี่ยมแล้วก็อวยพร ขอให้มีอายุยืนยาวเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกหลานไปนานๆ คุณยายก็บอกว่า ไม่ไหวแล้ว เผลอรับพรของลูกหลานไปจนเพลิน อายุปาเข้าไป 90 พลาดไปแล้ว ไม่ไหวแล้ว พอแล้ว เกินกว่านี้ไปก็มีแต่ทุกข์อย่างเดียว นี่คือคำพูดของคุณยาย ทีแรกก็คงปรารถนาอยากจะมีอายุยืน ครั้นได้สมใจแล้ว แต่ปรากฏว่าไม่มีความสุขเท่าไรเลย พออายุ 90 กว่า ร่างกายก็ติดขัดไปหมดทุกขเวทนาก็เกิดขึ้นเรียกว่ารอบตัวเลย

อายุยืนก็ดี มีเงินมีทองก็ดี ไม่ใช่ว่าเป็นพรที่ประเสริฐ ตามมาด้วยภาระ ตามมาด้วยปัญหา ถ้าเทียบกันแล้วความรู้เนื้อรู้ตัวดีกว่าเยอะ เพราะทำให้เกิดความสงบเย็น และทำให้เกิดเป็นสุขได้ในทุกสถานการณ์ หมายความว่าแม้จะไม่ร่ำไม่รวย แต่ว่าใจก็ไม่ได้ทุกข์ พอรู้เนื้อรู้ตัวก็สามารถจะวางใจให้เป็นสุขได้ แม้เจ็บป่วย เกิดทุกขเวทนาทางกาย แต่ถ้ารู้เนื้อรู้ตัวแล้วก็ไม่ลามมาเป็นความทุกข์ใจเลย เพราะดูมันไป ไม่ปล่อยให้ใจไปปักตึงหรือไปยึดอยู่กับความเจ็บความป่วย หรือผลักไสมัน

“ความรู้เนื้อรู้ตัว ถ้าใครมี ก็จะมีแต่ความสงบเย็น แต่ที่รุ่มร้อนและเป็นทุกข์กัน ก็เพราะความไม่รู้เนื้อรู้ตัว ความลืมตัว”

คุณยายคนหนึ่ง เกิดอุบัติเหตุหกล้ม กระดูกที่แขนหัก กระดูกทิ่มออกมาที่เนื้อเลย แต่คุณยายก็ไม่แสดงอาการทุรนทุรายหรือว่าแสดงอาการคร่ำครวญอะไร ลูกสะใภ้แปลกใจจึงไปถามว่าทำไมถึงไม่แสดงความทุกข์อะไรเลย คุณยายก็บอกว่า ก็แค่เห็นมันเป็นทุกขเวทนา อย่าไปยุ่งกับมัน ส่วนใหญ่ไปยุ่งกับมัน ก็ยิ่งเจ็บเข้าไปใหญ่ เอาใจไปจดจ่ออยู่กับความปวด บริเวณที่ปวด ไปยึดความปวดเอาไว้ทั้งที่ไม่ชอบ พยายามผลักไสมันออกไป ลงเอยด้วยการไปยึดมันเอาไว้ ผลักไสมันก็ทุกข์อยู่แล้ว เพราะว่าไม่รู้เนื้อรู้ตัว จะรู้เนื้อรู้ตัวได้ต้องมีสติ

คนเราไม่ค่อยเห็นคุณค่าของการรู้เนื้อรู้ตัว เพราะเราคิดว่าการรู้เนื้อรู้ตัวคือไม่หลง คือไม่หลงแบบคนแก่ หรือไม่เป็นบ้า หรือคนที่ไม่ฟั่นเฟือน คนที่ไม่เงอะงะๆ ก็ถือว่ารู้ตัว แต่จริงๆแล้วก็ยังไม่รู้ตัวเท่าไหร่ มีอะไรมากระทบไม่ว่าทางตา ทางหู หรือว่าทางกาย ใจก็กระเพื่อม เกิดความหงุดหงิด เกิดความคับแค้น ความโกรธ ปล่อยให้ความหงุดหงิด ความคับแค้น ความโกรธ มาเล่นงานจิตใจ อย่างนี้เรียกว่าไม่รู้เนื้อรู้ตัว ปล่อยให้ใจจมลงไปในอารมณ์นั้น

หรือแม้จะไม่มีอะไรมากระทบทางตาทางหูทางจมูก แต่ไปนึกคิด พอนึกคิดขึ้นมาเกิดอารมณ์ขึ้นมา ความนึกคิดกับอารมณ์มาด้วยกัน คิดถึงเรื่องความสูญเสียในอดีตก็เสียใจ เกิดความอาลัยอาวรณ์คิดถึงเหตุการณ์ที่เจ็บปวดก็ทำให้เกิดความโศกความเศร้า คิดถึงคำพูดของใครบางคนก็ทำให้เกิดความโกรธ นึกไปถึงเหตุการณ์ข้างหน้าที่ดูแย่ๆ ที่ยังไม่เกิดขึ้นก็จริง แต่พอไปคิดเอาจริงเอาจัง มันเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอนแต่กลับไปคิดว่าเป็นเรื่องแน่นอน 100% ก็ยิ่งเกิดความเครียดความวิตกกังวล อันนี้เรียกว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้นเกิดจากความคิด แม้ยังไม่มีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสมากระทบ

จะว่าไปแล้ว ความทุกข์ใจที่เกิดขึ้นกับผู้คน สาวไปก็เพราะความไม่รู้เนื้อรู้ตัว แล้วก็ไม่ใช่ทุกข์ใจอย่างเดียว ยังสร้างปัญหาให้กับคนอื่นด้วย พอลืมตัวจมอยู่ในความโกรธความแค้นก็ระบายใส่คนอื่น ต่อว่าคนอื่น ทิ่มแทงคนนั้นคนนี้ ทั้งที่อาจจะเป็นคนใกล้ เป็นลูกเป็นหลานเป็นคนรัก ก็ทำให้เกิดความบาดหมางกัน เกิดความร้าวฉานกัน ที่ทะเลาะกันก็เพราะลืมตัวทั้งนั้น ไม่ว่าจะทะเลาะสารพัดเรื่อง สุดท้ายก็มาลงที่ลืมตัว ลืมตัวด้วยการพูดอะไรออกไป อย่างที่เขาพูดกันว่า อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด อยู่กับมิตรให้ระวังวาจา วาจาพูดออกพ่นออกไปถ้าทำโดยไม่รู้ตัวก็สร้างความทุกข์ให้กับคนอื่น แล้วพอเกิดเรื่องร้าวฉานความทุกข์ก็สะท้อนคืนกลับมาทิ่มแทงตัวเอง

บางทีไม่ใช่ลืมตัวด่าว่าร้ายคนอื่นเท่านั้น  แต่หนักกว่านั้นคือลืมตัวถึงกับทำร้ายกันจนกระทั่งเลือดตกยางออก หรือถึงตาย และที่ตายจำนวนมากเกิดจากคนรู้จัก กลายเป็นคนรักเสียด้วย ฆ่าเพราะขาดแค้น หรือเพราะโกรธ เพราะน้อยเนื้อต่ำใจ ก็มาจากลืมตัวทั้งนั้นแหละ พอทำเสร็จก็มาเสียใจร้องห่มร้องไห้เสียใจว่า ไม่น่าทำเลย บางคนทนไม่ไหวก็เลยฆ่าตัวตายตามกัน เพราะรู้สึกมันเจ็บปวดมากที่เผลอทำร้ายคนรักจนตาย ความรู้สึกผิดบาดแทงจิตใจจนกระทั่งทนไม่ไหวตายดีกว่า ล้วนมีรากเหง้าจากความไม่รู้เนื้อรู้ตัว

ถ้าเรามีความรู้เนื้อรู้ตัว ไม่เพียงแต่ไม่ก่อทุกข์ให้ใครเท่านั้น ยังทำให้เกิดความสุขด้วย รากเหง้าของความสุขใจก็คือความรู้เนื้อรู้ตัวนั่นแหละ เมื่อรู้ตัว ใจก็คิดดี พูดดี ทำดี ก็จะเกิดความรู้สึกดีๆ แก่จิตใจ และเกิดสิ่งดีๆกับชีวิต ถ้าไม่มีความรู้เนื้อรู้ตัว ความสุขใจ ความเบิกบานใจ ความเย็นใจก็จะเกิดขึ้นได้ยาก อาจจะเกิดขึ้นชั่วคราว เช่น ใจลอย ฝันกลางวัน ฝันว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 มีความสุข ก็เพลิน แต่ฝันนั้นก็แค่ชั่วคราว พอมาอยู่กับความเป็นจริงก็เสียใจที่เรายังไม่ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 สักที ฝันว่าสมปรารถนาได้อยู่กับคนรักก็มีความสุข แต่พอมาอยู่กับความเป็นจริง เสียใจที่ไม่สมปรารถนา

แต่ถ้าเรารู้เนื้อรู้ตัว ใจก็จะมีความโปร่ง เบา สงบ เย็น ไม่มีอารมณ์ใดๆ ที่เป็นลบมาบีบคั้นทิ่มแทง เพราะใจอยู่กับปัจจุบัน ก็เกิดความรู้เนื้อรู้ตัว พอใจมาอยู่กับเนื้อกับตัว ก็รู้เนื้อรู้ตัว การที่ใจอยู่กับเนื้อกับตัวก็คือการอยู่กับปัจจุบัน รู้กายใจก็ไม่เพ่นพ่าน เพราะใจอยู่กับเนื้อกับตัว ถ้าใจเพ่นพ่าน ไหลไปอดีตลอยไปในอนาคต จมอยู่ในอารมณ์ก็รู้ อันนี้คือรู้ใจ ใจก็หลุดออกมาจากอดีต หลุดออกมาจากอนาคต หลุดออกมาจากอารมณ์ กลับมาอยู่กับปัจจุบัน กลับอยู่มาอยู่กับเนื้อกับตัว ก็เกิดความสงบ ความโปร่งโล่ง

คนเราจะทำดีหรือทำบุญ จะเป็นความดีที่แท้ ทำบุญที่ประเสริฐ ก็เพราะทำด้วยความรู้เนื้อรู้ตัว ทำอย่างมีสติ ถ้าทำด้วยความไม่รู้เนื้อรู้ตัว เจือด้วยกิเลส เจือด้วยตัณหา หรือใจไปปักอยู่กับความสำเร็จ จะทำให้ได้ จะทำให้เสร็จ เข้าแถวทำบุญ เข้าแถวรอถวายสังฆทาน แถวยาว จิตใจไปปักจะทำบุญให้แล้วเสร็จ จะทำบุญแต่ใจหงุดหงิดเพราะว่าไม่ได้ทำสักที คิวยาว เพราะว่ามีอุปสรรค อันนี้เรียกว่าขาดการรู้เนื้อรู้ตัว แทนที่จะได้บุญ ได้บาปหรือได้อกุศล เพราะพยายามแซงคิว เพราะไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไปทำโรงทานทำด้วยจิตเป็นกุศล แต่ทำไปมา กลายเป็นอกุศลเที่ยวว่าคนนั้นคนนี้ เดี๋ยวก็ว่าลูกน้องทำไม่ถูกใจ ไปว่าคนมารับอาหาร อาจจะแซงคิวหรือไม่ก็แล้วแต่ ก็เพราะขาดสติ มีเยอะ

ไม่ว่าจะให้ทานรักษาศีล ถ้าทำด้วยความรู้เนื้อรู้ตัวก็จะเกิดผลที่ดีเป็น อริยกันตศีล ไม่ใช่ สีลัพพตปรามาส คือศีลที่เจือด้วยกิเลสเช่น ตัณหา มานะ ความถือตัว รักษาศีลเพราะอยากได้ไปสวรรค์ อยากได้ มีโชคมีลาภ ถูกลอตเตอรี่ อยากให้คนชมสรรเสริญ หรือว่าทำเพื่อสร้างภาพ ล้วนเป็น สีลัพพตปรามาส ไม่ใช่ อริยกันตศีล อริยกันตศีลคือศีลที่พระอริยเจ้าสรรเสริญ เพราะทำด้วยรู้เนื้อรู้ตัว ไม่ใช่เพราะกิเลสตัณหามานะเข้ามาครอบงำมาแผ้วพาน

ภาวนาก็เหมือนกัน ก็ยิ่งต้องอาศัยความรู้เนื้อรู้ตัว ถ้าไม่รู้เนื้อรู้ตัวภาวนาไปได้สมาธิจะกลายเป็นมิจฉาสมาธิ ทำไปทำมาก็หงุดหงิด เพราะพอมีเสียงมากระทบ มีคนพูดเสียงดังอยู่ใกล้ๆ มีคนเปิดริงโทนอยู่ในห้อง หรือว่ารอบตัวสงบเงียบ ไม่มีอะไรมารบกวนแต่มีความฟุ้งซ่านเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ แต่ถ้ารู้เนื้อรู้ตัว ความฟุ้งซ่านก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แค่รู้เฉยๆ ปล่อยมันไปเรียกว่ารู้ซื่อๆ แต่ส่วนใหญ่ไม่รู้ซื่อๆ พอรู้พอเห็นก็เข้าไปเป็นเลย ไปรบราพันตูกับความคิดฟุ้งซ่าน คือความเครียด ความเหนื่อย ทำไปก็เครียด ไม่ได้ความสงบ หรือว่าได้ความสงบก็ดื่มดำจนลืมตัว อันนี้ก็ความหลงเหมือนกัน หลงสีขาว หลงกับความสงบ ดื่มด่ำกับการปฏิบัติ ทำให้การปฏิบัติเนิบช้า ปัญญาไม่เกิด จากความรู้ตัวก็ไม่พัฒนาไปสู่การรู้ความจริง จนอวิชชาไม่มีที่ตั้ง จนอวิชชาดับ

ความรู้ตัวเป็นพื้นฐานที่นำไปสู่การรู้ความจริง เป็นหัวใจสำคัญ เมื่อรู้ความจริงก็เกิดความสงบอย่างแท้จริง รู้ซื่อๆ ในทางพุทธศาสนาก็คือนิพพาน ประตูหรือบันไดขั้นต้นคือความรู้เนื้อรู้ตัว ถ้าไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็ไม่มีทางที่จะเข้าถึงพระนิพพาน คนสมัยก่อนนอกจากความรู้เนื้อรู้ตัว พรที่ปรารถนาคือนิพพาน ไม่ได้ปรารถนาอย่างอื่นเท่าไร สมัยก่อนเวลาใส่บาตร ไม่ได้อธิษฐานขออะไรมาก อธิษฐานเพียงสั้นๆ ว่า นิพพานะปัจจะโยโหตุ ขอให้ได้เป็นปัจจัยไปสู่พระนิพพาน บางทีก็อธิษฐานหรือตั้งจิตเป็นกลอน ข้าวของผู้ข้า ขาวเหมือนดอกบัว ยกมือท่วมหัว ถวายแด่พระสงฆ์ จิตใจจำนง มุ่งตรงต่อพระนิพพาน ขอให้ถึงเมืองแก้ว ขอให้แคล้วหมู่มาร ขอให้ได้เกิดในยุคพระศรีอารย์ ในอนาคตกาลเบื้องหน้านี้เทอญ ความหมาย ก็คือแค่ขอให้ถึงพระนิพพาน ถ้าไม่ถึงก็ขอให้ได้ไปเกิดในยุคพระศรีอารย์ เขาก็ขอเพียงเท่านี้ ถือว่าเป็นความฉลาดเพราะสิ่งที่ขอคือ ปรมัตถธรรม

ปรมัตถธรรม เป็นธรรมขั้นสูงสุด ซึ่งประเสริฐกว่า อายุวรรณะสุขะพละ ปฏิภาณธนสารสุข อันนั้นเป็นประโยชน์ชั้นต้น ทิฏฐธัมมิกัตถะ ซึ่งเป็นพื้นฐานของการดำเนินชีวิตให้ผาสุก แต่คนสมัยนี้ไปตั้งจิตอยู่กับเรื่องนี้มากเกินไป จะทำให้ได้เยอะๆมากๆ ขอให้เกิดขึ้นกับเราเต็มที่ แทนที่จะมีทรัพย์สมบัติที่ใช้ดำเนินชีวิตอยู่ได้ แต่ก็อยากจะร่ำรวย ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 คนสมัยก่อนไม่ได้ให้สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญ จำเป็นก็จริงแต่ว่าไม่ต้องร่ำรวยก็ได้ ปัจจัย 4 เป็นสิ่งจำเป็นแต่ไม่ต้องมีมากก็ได้ ขอให้มีเพียงแค่ดำเนินชีวิตอยู่ได้ ไม่หิวโหยไม่เดือดร้อนไม่ต้องถึงกับรวยไม่ต้องถึงกับอยู่ดีก็ได้ แต่ให้ความสำคัญกับประโยชน์ขั้นที่ 2 ที่เรียกว่าสัมปรายิกัตถะ

สัมปรายิกัตถะ คือความรู้เนื้อรู้ตัว ให้ความสุขทางใจ เงินทองเป็นสิ่งจำเป็น แต่ว่าแค่พอมีพอใช้ก็เพียงพอแล้ว ที่จะปรารถนามากกว่าคือ ความรู้เนื้อรู้ตัว เพราะถ้ามีแล้วก็มีความสุข อยู่เย็นเป็นสุข ไม่อยู่ร้อนนอนทุกข์ ซึ่งตรงข้ามกับปัจจุบัน คนปัจจุบันมุ่งไปที่การมีเงินมีทองมากๆมีอายุยืนเป็นร้อยปีคือ ให้มันได้ไปเยอะๆเลยหนักไปในทางนี้ คนสมัยก่อนไม่เน้นหนักไปทางนั้น แค่พอมีทรัพย์บ้างเพื่อดำเนินชีวิตให้อยู่ได้ แต่ที่ปรารถนาคือสัมปรายิกัตถะประโยชน์ชั้นสูงขึ้นไป คือรู้เนื้อรู้ตัว

“ถ้าเรามีความรู้เนื้อรู้ตัว ไม่เพียงแต่ไม่ก่อทุกข์ให้ใครเท่านั้น ยังทำให้เกิดความสุขด้วย รากเหง้าของความสุขใจก็คือความรู้เนื้อรู้ตัวนั่นแหละ”

เรื่องบุญกุศลอย่างบทสวดอริยธนคาถา อริยทรัพย์คือ ศรัทธา ศีล ความเลื่อมใส และความเห็นธรรมให้เนืองๆ ธรรมเหล่านี้ต้องเริ่มจากความรู้เนื้อรู้ตัวก่อนจึงจะเกิด ศรัทธา ศีล ความเลื่อมใสและความเห็นธรรมได้ ถ้าเลยจากประโยชน์ชั้นสูงหรือสัมปรายิกัตถะ ก็คือปรมัตถะคือนิพพาน คนสมัยก่อน เขาฉลาด ประโยชน์ชั้นต่ำนั้นเขาไม่สนใจ เขามุ่งประโยชน์ชั้นสูงหรือสูงสุดเลยคือความรู้เนื้อรู้ตัว นิพพาน

ในขณะที่เทศกาลสงกรานต์ ทุกคนปรารถนาพรให้แก่กันและกัน ก็ขอให้คิดเรื่องนี้บ้าง แต่อย่าไปยินดีใน อายุ วรรณะ สุขะพละ มากนะ แต่ขอให้ยินดีในรู้เนื้อรู้ตัว แต่ให้ยินดีคือไปพระนิพพาน อันนี้จะเป็นแรงผลักให้ชีวิตไปในทางที่ถูกต้อง หรือถึงนิพพาน อะไรบ้างเช่น ความทุกข์ที่เกิดจากการพลัดพราก ความทุกข์ที่เกิดจากโรคภัยไข้เจ็บ ความทุกข์ที่เกิดจากคำต่อว่าด่าทอ อุปสรรคต่างๆ แทนที่จะทำให้โกรธแค้น กลับทำให้มองว่านี่คืออุปสรรคที่เราต้องผ่านไปให้ได้ เพราะถ้าเรายินดีต่อพระนิพพาน มีพระนิพพานเป็นที่หมาย เราก็จะไม่ย่อท้อง่ายๆ จะอุปสรรคก็ไม่เอาแต่บ่นตีโพยตีพาย ก่นด่าชะตากรรม แต่มองว่ามันคืออุปสรรคที่เราต้องก้าวข้ามไปให้ได้ เพราะถ้าไม่ผ่านจะเข้าถึงพระนิพพานได้อย่างไร

ทั้งหมดนี้ก็ต้องเริ่มจากความรู้เนื้อรู้ตัว ถ้าไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้วเจออุปสรรคเจอสิ่งกระทบก็มีแต่ความหงุดหงิดอึดอัดรำคาญใจและก็มีความคับแค้นใจ แล้วก็ไประบายความทุกข์ใส่คนนั้นคนนี้ทำให้เกิดปัญหาตามมาวุ่นวายไปหมด เพราะความไม่รู้เนื้อรู้ตัว ความรู้เนื้อรู้ตัวเป็นธรรมะที่ประเสริฐที่เราควรตั้งจิตยินดี ปรารถนาที่จะทำให้เกิดขึ้นกับตัวเอง ไม่ใช่แค่ปรารถนา แต่ว่าเพียรพยายามทำให้เกิดขึ้นด้วย

พระไพศาล วิสาโล

ผู้เขียน: พระไพศาล วิสาโล

เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต และประธานมูลนิธิเครือข่ายพุทธิกา