ความกลัว (ตาย) สอนอะไรเราบ้าง

ปรีดา เรืองวิชาธร 9 เมษายน 2005

คนที่รู้สึกว่าตัวเองกลัวตายนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก แต่หากไม่กลัวนี่สิแปลก จากประสบการณ์ของคนที่เข้าร่วมอบรม “เผชิญความตายอย่างสงบ” เกือบทั้งหมดต่างรู้สึกกลัวช่วงเวลาแห่งความตายไม่มากก็น้อย แม้หลายคนจะบอกอย่างมั่นใจว่า พร้อมที่จะตายอยู่ทุกเมื่อ แต่เอาเข้าจริงก็รู้สึกกลัวอะไรบางอย่าง ยิ่งพิจารณามรณสติจนเห็นภาพกระทั่งว่า เรากำลังจะจากโลกนี้ไปแล้วจริงๆ ก็ถึงกับเสียววูบหรือร่างกายเย็นยะเยือกหมดแรงไปก็มี

หลายคนยอมรับว่าที่กลัวตายนั้นปัจจัยหลักอันหนึ่งก็คือ ความไม่พร้อม ซึ่งอาจหมายถึงมีเรื่องครอบครัวที่ยังต้องห่วงกังวลและยังผูกพันรักใคร่ไม่อยากจากไป เรื่องหน้าที่การงานที่ยังคั่งค้าง เรื่องทรัพย์สินเงินทองที่ยังจัดการไม่ลงตัว บางคนมีเรื่องที่อยากทำแต่ยังไม่ได้ทำ เช่น ฝันอยากจะเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลกบ้างเพราะชีวิตจมปลักอยู่กับงานมาตลอด บางคนฝันอยากจะทำประโยชน์สร้างสรรค์เพื่อคนอื่นบ้าง รวมถึงหลายคนต้องการกล่าวคำขอโทษหรือขออโหสิกรรมกับคนที่เขาได้ล่วงเกินไว้ เป็นต้น ในขณะที่อีกหลายคนหวาดกลัวหากจะต้องเผชิญสภาพความเจ็บปวดในช่วงกำลังจะตาย เพราะไม่รู้ว่าจะเจ็บปวดทรมานสักเพียงใด เป็นความกลัวต่อสิ่งที่ไม่คุ้นเคย

นอกจากความกลัวอันเนื่องจากความไม่พร้อมทั้งหลายนี้แล้ว ยังมีเหตุแห่งความกลัวที่สำคัญก็คือ กลัวตัวตนจะดับสูญ ดังพระไพศาล วิสาโล เคยกล่าวไว้ว่า “ในบรรดาความติดยึดทั้งหลายไม่มีอะไรที่ลึกซึ้งแน่นหนากว่าความติดยึดในตัวตน ความตายในสายตาของคนบางคนจึงหมายถึง ความดับสูญของตัวตน ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาทนไม่ได้และทำใจยาก”

ในทางพุทธศาสนาถือว่า ความกลัวตัวตนจะดับสูญเป็นปัจจัยพื้นฐานที่นำไปสู่ความกลัวนานาชนิด การที่เราพยายามยื้อยุดให้มีชีวิตต่อไปส่วนหนึ่งมาจากแรงผลักของความกลัวตัวตนจะดับสูญ เพราะสภาวะหลังตายเรามิอาจล่วงรู้ได้ เราไม่มีอะไรเป็นหลักประกันให้ยึดไว้อย่างมั่นใจ จริงๆ แล้วความกลัวตัวตนจะดับสูญไปมีอยู่ด้วยกันในทุกคนที่ยังไม่ได้ฝึกฝนจนเห็นความจริงว่า ทุกสิ่งล้วนไม่มีตัวตนเที่ยงแท้ถาวรอะไร มีเพียงแต่กระแสของเหตุปัจจัยปรุงแต่งกันขึ้นมาเท่านั้น ซึ่งเราต่างหลงไปยึดมั่นถือมั่นว่า มีตัวตนของเรา มีของของเราแท้จริงอยู่ตลอดเวลา

ด้วยเหตุนั้นในช่วงเวลาที่เราต้องเตรียมตัวละจากโลกนี้ไป หากรู้สึกหวาดกลัวต่อความตายจะเนื่องด้วยเหตุปัจจัยใดก็ตาม ย่อมเป็นอุปสรรคขัดขวางให้เราไม่สามารถจากไปอย่างสงบได้ และไม่เพียงเท่านี้ หากน้อมระลึกถึงความตายของเราขึ้นมาเมื่อใดแล้วยังรู้สึกหวาดกลัวต่อความตายหรือรู้สึกไม่พร้อมอยู่เสมอ นั่นก็อาจสะท้อนได้ว่า เรากำลังดำเนินชีวิตโดยไม่ได้เตรียมตัวอะไรไว้บ้างเมื่อเวลานั้นมาถึง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เรากำลังใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างประมาท

ด้วยเหตุดังกล่าว หากเราปรารถนาจะเผชิญความตายอย่างสงบและอย่างองอาจกล้าหาญแล้ว เราจำต้องเตรียมตัวนับแต่นี้เป็นต้นไป เพราะจะหวังไปฝึกฝนหรือเตรียมตัวเมื่อใกล้ถึงเวลานั้นย่อมหวังได้ยาก และที่สำคัญเหนืออื่นใด การเตรียมตัวด้วยการดำเนินชีวิตอย่างไม่ประมาทนั้นไม่ได้เกิดผลดีเฉพาะช่วงเวลาใกล้ตายเท่านั้น แต่ผลดีย่อมงอกงามต่อชีวิตในแต่ละก้าวซึ่งเราสัมผัสได้อย่างอิ่มเอมทันทีที่เราได้ลงมือทำ

การใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทในคติพุทธศาสนานั้น (อัปปมาทธรรม) ก็คือ ความเป็นอยู่อย่างไม่ขาดสติและใช้ปัญญาใคร่ครวญในการดำเนินชีวิต ไม่ทำให้ชีวิตตกไปสู่ความเสื่อม ขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นในสังคมด้วย

หากมองในแง่กายภาพแล้ว เรื่องที่คนในสังคมสมัยใหม่เสียเวลาทุ่มเทไปมากที่สุดเห็นจะได้แก่เรื่องเศรษฐกิจปากท้อง จริงอยู่ทุกคนควรขวนขวายแสวงหาปัจจัย ๔ เพื่อให้เพียงพอแก่ชีวิต แต่ทุกวันนี้เราต่างมุ่งแสวงหาทรัพย์สินเงินทองอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง เพื่อหวังจะซื้อหาความสุขจากวัตถุทั้งหลาย ซึ่งมันได้ทำให้มิติของชีวิตด้านอื่นถูกละเลยไปเกือบสิ้นเชิง ทั้งเรื่องสุขภาพ เรื่องครอบครัว เรื่องการใส่ใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่หรือคิดถึงส่วนรวม ไม่จำต้องพูดถึงการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณ ซึ่งในแง่นี้เราสนใจกันน้อยมาก

ดังนั้นเราควรน้อมสติเพื่อใคร่ครวญให้มากขึ้นว่า การมุ่งแสวงหาและสะสมโภคทรัพย์ต่างๆ อย่างลุ่มหลงมัวเมานั้นได้ทำให้ชีวิตบางมิติเราขาดหายไปมากเพียงใด ซึ่งทำให้สมดุลของชีวิตเสียไปหรือไม่เพียงใด ทรัพย์สินที่หามาได้เหล่านั้นยิ่งมีมากยิ่งทำให้เกิดความสุขโดยส่วนเดียวจริงหรือ และความมั่งคั่งทางวัตถุมันทำให้รู้สึกมั่นคงปลอดภัยโดยแท้จริงหรือ

เชื่อได้ว่า คำตอบที่เกิดจากความสงัดในใจย่อมทำให้เราตระหนักว่า ชีวิตควรให้ความสำคัญกับเรื่องอื่นมิติอื่นอย่างสมดุล ดังเช่นเราควรใส่ใจดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเพื่อที่จะสามารถต่อกรกับโรคร้าย โดยเฉพาะโรคร้ายที่มักจะคร่าชีวิตเราด้วยความทุกข์ทรมานอย่างมะเร็ง เราควรให้เวลาอย่างเพียงพอเพื่อสัมพันธภาพอันอบอุ่นในครอบครัว หรือสร้างสรรค์ความรักใคร่ปรองดองของคนในสังคม ซึ่งรวมถึงการเป็นส่วนหนึ่งเพื่อสร้างสังคมให้ดีงามและเป็นสุข เป็นต้น

ชีวิตที่คิดคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ย่อมทำให้จิตใจขยายเป็นจิตใหญ่ และเป็นจิตที่เป็นสุข เพราะเราไม่ได้หมกมุ่นคิดเฉพาะว่าตัวเองจะได้อะไรเท่านั้น พลังแห่งความเบิกบานที่เกิดขึ้นย่อมทำให้รู้สึกมั่นคงภายใน และในด้านหนึ่งย่อมทำให้เห็นว่า ความสุขไม่ได้เกิดจากความมั่งคั่งทางวัตถุโดยส่วนเดียวเท่านั้น แต่ความสุขสามารถเกิดขึ้นได้จากความรักความปรารถนาดี หรือจากความดีงามทั้งหลายที่เราได้ทำ ซึ่งไม่จำต้องอาศัยทรัพย์สินเงินทองก็ได้

หากเราปรารถนาจะเผชิญความตายอย่างสงบและอย่างองอาจกล้าหาญแล้ว เราจำต้องเตรียมตัวนับแต่นี้เป็นต้นไป

นอกจากนี้ เราควรให้เวลากับการฝึกฝนทำจิตใจให้สงบและหมั่นพิจารณาทบทวนความจริงของชีวิต เพื่อคลายความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นว่า มีตัวเรา มีของของเรา ดังที่ท่านพุทธทาสภิกขุย้ำเตือนเสมอว่า “สิ่งต่างๆ ทั้งหลายทั้งปวงอันรวมถึงร่างกายเรานี้ธรรมชาติให้ยืมมาชั่วคราวเท่านั้น ที่สุดแล้วต้องคืนให้ธรรมชาติกลับไป” การหมั่นพิจารณาให้เห็นถึงคติธรรมดาของชีวิตย่อมทำให้ชีวิตเป็นอิสระที่แท้จริงได้มากขึ้น เป็นความรู้สึกมั่นคงภายในโดยแท้จริง และนั่นย่อมทำให้เรากล้าหาญเมื่อจะต้องเผชิญกับความตายตรงหน้า

ในทางพุทธศาสนานั้นมองว่า การทำคุณงามความดีซึ่งรวมไปถึงการหมั่นทำจิตใจให้สงบนั้น ถือเป็นประโยชน์ในเบื้องหน้า (สัมปรายิกัตถะ) เป็นหลักประกันแก่ชีวิตเมื่อละจากโลกนี้ไป เพราะสิ่งที่จะติดตามเราไปได้หลังจากที่ความตายมาเยือนก็คือ กุศลกรรมหรืออกุศลกรรมที่เราได้ทำไว้ ดังนั้นหากเราจะเผชิญความตายอย่างสงบได้ ก็ควรเตรียมตัวให้พร้อมโดยเริ่มต้นทำกิจที่ดีงามและจำเป็นต่อชีวิตครอบครัวและสังคมทันทีที่รู้ตัว


ภาพประกอบ

ปรีดา เรืองวิชาธร

ผู้เขียน: ปรีดา เรืองวิชาธร

สนใจและศึกษาเรื่องการเรียนรู้แนวจิตวิญญาณและกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม โดยเป็นกระบวนกรให้กับเสมสิกขาลัยนับแต่ปี 2546 จนถึงปัจจุบัน