พลังศักดิ์สิทธิ์: ความโกรธ

ชัยยศ จิรพฤกษ์ภิญโญ 19 สิงหาคม 2012

สมศรี ๑ เขียนจดหมายถึงผู้เขียนบอกเล่าความทุกข์จากความโกรธที่ผุดโผล่ขึ้นอันเนื่องมาจากอุปนิสัยความเคยชินของเธอ  ความโกรธนั้นปะปนทั้งจากความโกรธที่มีต่อตนเอง ต่อคู่กรณีและต่อเรื่องราว  สมศรีพบว่าอุปนิสัยที่คุ้นชินกับความเกรงใจทำให้เธอต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่จำยอมผู้อื่นอยู่เสมอๆ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีความกดดัน ถูกร้องขอความช่วยเหลือ รวมไปถึงการถูกไหว้วานร้องขอรบกวนตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยไปจนถึงเรื่องราวใหญ่โต  เธอก็มักตอบรับเสมอๆ เนื่องมาจากความยากลำบากใจในการปฏิเสธ  และบ่อยครั้งคำปลอบใจที่มักผุดโผล่ขึ้นมาคือ ไม่เป็นไร ก็ทำให้อุปนิสัยนี้ของเธอเข้มข้นและรุนแรง

บ่อยครั้งเธอพบว่าการยินดีช่วยเหลือในหลายๆ กรณีไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไร  แต่บ่อยครั้งก็ทำให้เธอเหน็ดเหนื่อย เครียด และที่สำคัญ แท้จริงเบื้องหลังคำปลอบใจว่า “ไม่เป็นไร” นั้นเธอรู้สึกถึงความโกรธ อึดอัด หงุดหงิด โมโห ฯลฯ  คำปลอบใจนี้ยังถูกใช้บ่อยๆ เวลาที่เธอได้รับการปฏิบัติจากบุคคลรอบข้างในลักษณะมองข้าม ไม่ใส่ใจ ละเลยความสำคัญ  สมศรีใช้คำปลอบใจนี้เพื่อปลอบประโลมจิตใจให้ไม่ต้องคิดมาก ไม่ถือสา  แง่หนึ่งเธอได้ประโยชน์ แง่หนึ่งเธอต้องจ่ายราคาด้วยค่าใช้จ่ายที่หนักหนา คือ ความโกรธถูกสะสม ถูกพอกพูน และบ่อยครั้งมักถูกระบายออกกับคนใกล้ตัว คนที่สนิทคุ้นเคย  เรื่องเล็กน้อยก็สามารถกลายเป็นชนวนระเบิดให้ความโกรธนั้นลุกลามใหญ่โต จนกระทั่งความสัมพันธ์กับคนรอบข้างมีรอยบาดหมาง ขุ่นเคือง  แตกต่างจากความสัมพันธ์ที่มีกับคนอื่น คนไม่สนิท ที่กลับเป็นความเกรงใจมากกว่า เนื่องจากท่าทีที่มักตอบรับทุกสถานการณ์

แตกต่างจาก สมศรี ๒ ที่พร้อมใช้และคุ้นเคยกับการแสดงออกและใช้ความโกรธเพื่อตอบโต้กับสิ่งที่เธอเห็นว่าไม่ยุติธรรม  ความโกรธเป็นอาวุธที่ช่วยให้เธอแสดงออกถึงความเข้มแข็ง การเรียกร้อง และปกป้องสิทธิที่พึงมีพึงได้ของเธอ  สิ่งที่เธอพบคือ ความโกรธเช่นนี้ช่วยให้เธอสามารถปกป้องคนที่อยู่ในความดูแลของเธอ คนที่อ่อนแอกว่าเธอ  แต่ความโกรธก็ดูจะวนเวียนเธอเสมอๆ เผาลนให้รู้สึกรุ่มร้อน  เนื่องจากความโกรธกลายเป็นความแค้นเคือง พยาบาท ที่จะหายไปต่อเมื่อเธอได้ตอบโต้ ชำระคืน

ความโกรธมีอยู่รอบตัว ยามเมื่อเราประสบสิ่งไม่ชอบใจ สิ่งที่ผิดไปจากความต้องการ ปฎิกิริยาที่เกิดขึ้นและแสดงออกคือ ความโกรธ  เรามีถ้อยคำมากมายที่สะท้อนถึงระดับแลลักษณะความโกรธที่มีอยู่ เช่น หงุดหงิด ขุ่นใจ ฉุนเฉียว กระฟัดกระเฟืยด โมโห โกรธ เป็นต้น  สิ่งที่อยู่เบื้องหลังความโกรธคือ ความรู้สึกบางอย่างที่ซ่อนอยู่ นั่นคือ ความผิดหวัง ความเสียใจ  เรามีความต้องการอะไรบางอย่างแล้วเราไม่ได้ เราเสียใจ เราผิดหวัง  แต่หลายคนแสดงออกถึงความเสียใจ ผิดหวังนั้นด้วยความโกรธ  และความต้องการที่ว่านั้นก็คือ ความต้องการในความรักและการยอมรับทั้งในฐานะผู้ให้หรือผู้รับก็ตาม

ความรักและการยอมรับสื่อแสดงออกได้หลากหลายตั้งแต่การได้รับการชื่นชม การได้รับคำขอบคุณ รวมถึงอาจเป็นคำขอโทษ การให้เกียรติ ความเคารพ หรืออาจเป็นความต้องการได้รับการให้อภัย  และเมื่อเราไม่ได้ เราก็แสดงความโกรธออกมา หรือบางคนก็เลือกที่จะไม่รับรู้ความโกรธ เก็บเอาไว้ และยอมรับทุกสภาพที่เกิดขึ้นภายใต้คำปลอบใจว่า ไม่เป็นไร  แต่แท้จริงเก็บสะสมความโกรธ ความเสียใจ ผิดหวังเอาไว้ข้างใต้

คุณูปการสำคัญของความโกรธ คือพลังงานของความโกรธเปรียบได้กับไฟที่สามารถเผาทำลายสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้มอดไหม้ดับสูญไป  ความโกรธจึงเป็นพลังของการทำลาย พลังของการเปลี่ยนแปลง  ในทางฮินดู องค์เทพเจ้าตรีเทพอันประกอบด้วย พระพรหม พระอิศวร และพระนารายณ์ จึงเปรียบได้กับความเป็นพระผู้สร้าง พระผู้ทำลาย และพระผู้รักษา ตามลำดับ  ทั้ง ๓ พลังต่างทำงานประสาน และเกื้อหนุนกันเพื่อก่อเกิดวัฎจักรของชีวิต ของฤดูกาล  สิ่งใหม่ๆ ถูกสร้างสรรค์ขึ้นได้ การปฏิรูปการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากพลังความโกรธที่ต้องการกำจัดสิ่งไม่พึงปรารถนาให้หายออกไป ถูกกำจัดออกไป เพื่อให้สิ่งใหม่เกิดขึ้นแทนที่  นักปราชญ์ท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่าโกรธนั้นง่าย แต่โกรธใคร โกรธอะไร โกรธอย่างไร โกรธแค่ไหน ให้สอดคล้องและเหมาะสม คือเรื่องที่ยากลำบาก  และหลายคนก็มักสอบตกในเรื่องเช่นนี้

เรื่องราวความโกรธจึงเป็นศิลปะที่น่าสนใจในการเรียนรู้ ในการสัมพันธ์และเท่าทัน  การลดละความโกรธ หรือการแสดงออกถึงความโกรธโดยไม่ผ่านกระบวนการทบทวน ตรึกตรอง จึงทำให้เราพลาดโอกาสเรียนรู้ข้อมูล ข่าวสารสำคัญ นั่นคือ ความโกรธ คือ สัญญาณที่บอกว่าเรามีความต้องการอะไรที่เราไม่ได้  ความโกรธจึงสามารถเป็นสัญญาณเตือนให้เราค้นหาความต้องการนั้นๆ  ค้นหาจุดยืนและความเป็นตัวของตัวเองว่าเราต้องการอะไร อย่างไร  และที่สำคัญ มันช่วยค้นหาด้วยว่า เราคือใคร

สมศรี ๑ มีทางเลือกให้กับชีวิตที่จะก้าวพ้นจากอุปนิสัยความเคยชินที่ไม่กล้าปฏิเสธผู้อื่น อุปนิสัยที่มักเกรงใจผู้อื่นจนเบียดเบียนตนเอง  โดยการตระหนักรู้และยอมรับความโกรธของตัวเอง ค้นหาว่าเบื้องหลังความโกรธนั้น ตนต้องการอะไร ไม่ต้องการอะไร  เพื่อที่สมศรี ๑ จะได้กระทำในสิ่งที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของตนเอง  สมศรี ๑ อาจเลือกที่จะช่วยเหลือ และตอบรับคำขอร้อง ตอบรับความต้องการของผู้อื่น  แต่ด้วยกระบวนการที่สมศรี ๑ ได้ตรึกตรอง กระทำด้วยความตระหนักรู้ก็ถือว่าสมศรี ๑ ได้เรียนรู้และรับผิดชอบตนเอง  ไม่ใช่เพราะความเคยชินตามที่เคยมีมาเป็นตัวกำหนดการกระทำของตน

กรณีของ สมศรี ๒  การทบทวนการกระทำและสังเกตผลกระทบจากความโกรธ โทสะที่ระเบิดออกไป  เป็นเสมือนอาวุธหรือเครื่องปกป้อง รักษาผลประโยชน์  แต่พลังความโกรธก็ทำร้ายผู้คนรอบข้าง รวมถึงตนเอง  สิ่งที่ปกป้องกลับกลายเป็นอาวุธมาทำร้ายตน  การเท่าทันความโกรธอย่าให้มันกลายเป็นอาวุธประหารตนเอง จึงเป็นภารกิจหลักในกรณีนี้

โกรธนั้นง่าย แต่โกรธใคร โกรธอะไร โกรธอย่างไร โกรธแค่ไหน ให้สอดคล้องและเหมาะสม คือเรื่องที่ยากลำบาก

ความโกรธเปรียบเหมือนไฟที่ให้คุณประโยชน์กับเรา เมื่อเราใช้ไฟในฐานะพลังงานที่ให้ความอบอุ่น ให้พลังงานและชีวิต  ต้นไม้งอกงามก็เนื่องด้วยพลังจากแสงแดด วัฎจักรของน้ำหมุนวน อาหารถูกหุงต้มด้วยความร้อนจากแสงอาทิตย์ เรารู้สึกอบอุ่น สุขสบายจากกองฟืนไฟท่ามกลามอากาศหนาว  พร้อมกับที่ความโกรธก็เป็นเหมือนไฟร้อนแรงเผาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างจนวอดวาย เมื่อไฟนั้นลุกลามเกินการควบคุม เช่น สูญเสียการงาน ความสัมพันธ์ และสุขภาพจิตใจ ร่างกายเสียหายเมื่อความโกรธกลายเป็นไฟแค้น เกลียดชัง  ดังเช่น สงครามจากอคติ

ความโกรธจึงเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เราพึงมีสติ แง่หนึ่งผาทำลาย แง่หนึ่งกระตุ้นเร้าให้เรามีพลังที่ริเริ่มแก้ไขปรับปรุง และขับเคลื่อนค้นหาสิ่งที่เป็นความต้องการ  แต่การ  “เล่นกับไฟ” เพื่อได้ประโยชน์ ก็เป็นศิลปะ และการงานชีวิตที่พึงเรียนรู้


ภาพประกอบ

ชัยยศ จิรพฤกษ์ภิญโญ

ผู้เขียน: ชัยยศ จิรพฤกษ์ภิญโญ

นอกเหนือจากบทบาทนักเขียนประจำคอลัมน์ งานสำคัญ คือ กระบวนกร นักจิตปรึกษา, enneagram coach สนใจและรักที่จะทำงานด้านการทำงานเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงกับโลกภายในผ่านทักษะ ประสบการณ์เรียนรู้ทั้งงานอบรม การทำจิตปรึกษา และงานเขียน