รู้เท่าทันอารมณ์

ศรินธร รัตน์เจริญขจร 28 กันยายน 2014

เช้านี้แสงเดือนยืนกอดอกพิงขอบประตู เฝ้ามองนกพิราบสองตัวที่เดินเตาะแตะอยู่ข้างกระถางต้นไม้นับสิบรอบบ้าน เธอกำลังทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา สีเขียวของต้นไม้และแสงแดดยามเช้า ทำให้จิตใจของแสงเดือนปลอดโปร่งเพียงพอที่จะมองเห็น…ความคิดตัวเอง

สองวันก่อน ขณะแสงเดือนกำลังขับรถไปส่งลูกที่โรงเรียน สามีเธอโทรศัพท์มาถามเรื่องการสั่งสินค้าเข้าร้าน พร้อมบ่นว่าทำไมปล่อยให้เมล็ดกาแฟหมด ทั้งที่เป็นหน้าที่ของเธอในการตรวจดูของในร้านและสั่งล่วงหน้าก่อนของจะหมด แสงเดือนและสามีเปิดร้านกาแฟด้วยกันมากว่าสามปีแล้ว ทั้งสองตัดสินใจลาออกจากงานประจำเพื่อจะได้มีเวลาให้ลูกทั้งสองคนมากขึ้น แต่เมื่อลูกสองคนอยู่ในวัยเรียน เธอต้องมีหน้าที่เพิ่มนอกเหนือจากการดูแลร้าน คือการไปรับส่งลูก เธอคิดเสมอว่าเธอทำงานหนักกว่าสามี เธอเหนื่อยและกำลังหงุดหงิดจากการจราจร เมื่อรับโทรศัพท์ที่เต็มไปด้วยเสียงบ่น แสงเดือนจึงโต้ตอบกลับด้วยอารมณ์ที่โมโหและเสียงดัง ต่อว่าสามีที่ทำงานสบายอยู่ที่ร้าน ไม่ต้องออกมาอยู่บนท้องถนนที่ติดขัด การโต้เถียงเพื่อเอาชนะ และต่างกล่าวหาอีกฝ่าย กลายเป็นเรื่องทะเลาะใหญ่โต จนทำให้แสงเดือนเกือบขับรถเฉี่ยวชนรถคันอื่น

ถัดมาอีกวันหนึ่ง แสงเดือนพาลูกๆ ไปนั่งทานอาหารในร้านใกล้บ้านหลังกลับจากโรงเรียน เด็กๆ ยังคงลุกนั่งวุ่นวายเป็นปกติเหมือนทุกครั้ง เธอสั่งอาหารที่ลูกชอบสองสามอย่าง และชวนลูกชายคนโตให้กินเยอะๆ ส่วนเธอทานของตัวเองสลับกับป้อนให้ลูกสาวคนเล็กไปด้วย ขณะที่เธอกำลังจะอิ่ม ลูกชายคนโตก็ทานหมดและเตรียมลุกขึ้นไปสั่งขนมที่ตู้หน้าร้าน ตามที่แสงเดือนสัญญากับลูกไว้ว่าทานอาหารหมดจะได้กินขนม แต่ด้วยความรีบร้อนและระยะห่างระหว่างโต๊ะในร้านอาหารไม่กว้างนัก ทำให้ลูกชายของเธอเดินชนกระแทกโต๊ะข้างๆ จนหญิงสาวที่โต๊ะนั้นหันมาส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจต่อแสงเดือน เมื่อออกจากร้านอาหารขึ้นนั่งบนรถ แสงเดือนเปิดฉากดุว่าลูกชายคนโตเสียงดัง พร้อมตวัดมือตีที่แขนลูกชายอย่างแรง เธอรู้สึกโกรธและอาย ที่ลูกชายทำให้คนอื่นมองเธอด้วยสายตาตำหนิ ลูกชายเธอเงียบงันแต่ไม่ร้องไห้

ตอนค่ำ แสงเดือนได้รับโทรศัพท์จากน้องสาวว่าต้องไปทำงานต่างจังหวัด ขอให้เธอช่วยกลับมาอยู่เป็นเพื่อนแม่สักสองวัน เธอถามกลับไปทันทีว่าแม่ไม่สบายเป็นอะไร ทำไมต้องไปอยู่เป็นเพื่อน น้องสาวเธออธิบายว่าแม่สบายดี แต่รู้สึกเป็นห่วง ถึงแม่จะยังแข็งแรงแต่ก็อายุมากแล้ว จึงไม่อยากให้อยู่คนเดียว แสงเดือนได้แต่หงุดหงิดและคิดในใจว่าทำไมมีแต่เรื่องวุ่นวาย แต่ก็รับปากน้องสาวว่าจะกลับบ้าน…

เธอกำลังทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา เพื่อมองให้เห็นถึงความคิดของตัวเอง

ขณะที่กำลังทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้อยู่นั้น ความคิดของแสงเดือนก็สะดุดลง เพราะแม่ที่เพิ่งเดินกลับจากตลาดร้องทักแสงเดือน พร้อมคำถามและประโยคบอกเล่าเรื่องราวที่ตลาดอีกยืดยาว อารมณ์สงบเงียบยามเช้าหายไปทันที ความขุ่นมัวในใจกำลังก่อตัว แต่เสียงของแม่ยังคงกังวานทั่วบ้าน และประโยคหนึ่งที่แหวกอากาศมาสะกิดใจคือ หิวหรือยังลูก

เมื่อสติกลับคืน แสงเดือนสามารถหยุดอารมณ์ขุ่นมัวที่กำลังเกิดขึ้นจากการที่แม่ทำลายความเงียบยามเช้าของเธอลงได้ เธอพบว่าความหิวต่างหากที่ก่อกวนอารมณ์เธอ ไม่ใช่เสียงของแม่ และที่สำคัญอารมณ์หงุดหงิดน้องสาวยิ่งไม่ควรมี เพราะเธอได้รับโอกาสในการกลับมาอยู่ดูแลแม่ ได้ทบทวนความคิด และระลึกได้ว่านานมากแล้วที่เธอไม่ได้กลับบ้าน และยืนดูแม่ทำอาหารเช้าเช่นนี้

อารมณ์มักจะบดบังความคิดและสติของเราอยู่เสมอ ทั้งอารมณ์โกรธ โมโห หงุดหงิด กังวลหรือรำคาญใจ และยิ่งหากรวมกับร่างกายที่อ่อนล้าเหน็ดเหนื่อย หิว หรือง่วง เราจะไม่รู้เท่าทันอารมณ์ตนเอง ไม่รู้ตัวว่าขณะนั้นตนเองคิดอย่างไร มองไม่เห็นสิ่งอื่นใดรอบตัว  แต่หากรู้จักการเจริญสติ หมั่นฝึกฝนให้ “รู้” ว่าเรากำลังรู้สึกอย่างไร คิดอะไร เคลื่อนไหวร่างกายแบบไหน  เมื่อ “รู้” ก็จะมองเห็น เข้าใจ และเกิดปัญญา มีสติเพียงพอที่จะเท่าทันอารมณ์  เมื่อ “รู้” ก็ไม่จำเป็นต้องกดข่มบีบคั้นให้หยุดอารมณ์ใด แต่สติจะช่วยให้เราหยุดไปเองโดยธรรมชาติ

เช่นเดียวกับแสงเดือนถ้าเพียงใช้สติ เธอจะเข้าใจว่าการที่สามีโทรศัพท์มาต่อว่าเรื่องของหมดนั้น เพราะร้านกำลังขายดี สามีเธอกำลังวุ่นวายบริการลูกค้า แต่ของจำเป็นในร้านกลับขาดเพราะเธอเองไม่รอบคอบ เธอไม่เท่าทันความรู้สึกโกรธหงุดหงิดและความกังวลใจของตนเอง ไม่รู้ว่าจริงๆ เธอกำลังรู้สึกอย่างไร รวมทั้งความรู้สึกอายและอารมณ์โกรธที่เธอระบายกับลูกชาย และความรำคาญใจที่เธอต้องกลับบ้านมาดูแลแม่…

สำหรับปุถุชน เรามีความรู้สึกและอารมณ์ได้เป็นธรรมดา ขณะเดียวกันเราสามารถรู้และเท่าทันอารมณ์ได้ด้วยการใช้สติ หมั่นฝึกฝนตนเองให้มีสติได้ทุกขณะของการดำเนินชีวิต