สู่ชีวิตที่สงบเย็นและเป็นอิสระ

พระไพศาล วิสาโล 18 กรกฎาคม 2010

เมื่อสองเดือนที่แล้วมีรายงานข่าวว่า ศาลเกาหลีใต้ได้ตัดสินจำคุกสามีภรรยาคู่หนึ่งเป็นเวลาสองปี เนื่องจากทิ้งให้ลูกสาววัยสามเดือนอดอาหารจนตาย

ทารกที่น่าสงสารคนนี้มิได้ถูกทิ้งที่กองขยะอย่างที่มักจะเป็นข่าว หากถูกปล่อยไว้ที่บ้านของเธอเอง  ส่วนคนที่หายไปจากบ้านคือผู้ที่เป็นพ่อแม่ ทั้งสองคนไปขลุกอยู่ที่ร้านอินเทอร์เน็ตทั้งวันเนื่องจากติดเกมอย่างหนัก  รายงานข่าวไม่ได้แจ้งว่าทั้งสองมีเวลาไปทำมาหากินหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ก็คือทารกน้อยได้รับอาหารเพียงวันละมื้อเท่านั้น ซึ่งก็คงเป็นช่วงที่ทั้งสองกลับไปนอนบ้าน

ผู้เป็นพ่อนั้นมิใช่วัยรุ่น หากเป็นผู้ใหญ่วัย ๔๑ ปี ที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ เกมออนไลน์ที่เขาและภรรยาวัย ๒๕ ปีติดหนักจนโงหัวไม่ขึ้น มิใช่เกมบู๊ล้างผลาญเต็มไปด้วยความรุนแรง  หากเป็น เกมชื่อ “พริอุส” ซึ่งผู้เล่นจะต้องเพียรพยายามช่วยเหลือเด็กหญิงนาม “อะนิเมะ” ให้สามารถฟื้นฟูความทรงจำและพัฒนาอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ของตนเอง

ใครจะคาดคิดว่า ขณะที่สามีภรรยาคู่นี้เอาจริงเอาจังกับการช่วยเด็กหญิงในจินตนาการ แต่กลับละทิ้งลูกน้อยของตัว ซึ่งมีน้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐานเนื่องจากคลอดก่อนกำหนด  เท่านั้นยังไม่พอเมื่อกลับมาบ้าน ทั้งสองยังตีลูกน้อยของตัวด้วย

ข่าวนี้ตอกย้ำถึงอานุภาพของเกมออนไลน์ ซึ่งสามารถสะกดผู้คนให้ลุ่มหลงและเสพติดอย่างหนัก จนลืมได้แม้กระทั่งลูกตัวเอง

เกมออนไลน์หากเสพติดเมื่อใด ก็เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทั้งของตนเองและผู้อื่น

เมื่อปีที่แล้วก็มีข่าวว่า หนุ่มเกาหลีใต้ผู้หนึ่งติดเกมออนไลน์อย่างหนัก จนไม่สนใจการงาน ในที่สุดก็ถูกไล่ออกจากงาน แทนที่จะเสียใจ เขากลับดีใจที่ได้เล่นเกมเต็มที่  คราวนี้เขาขลุกอยู่แต่ในห้องเล่นเกมทั้งวันทั้งคืนไม่ได้หลับไม่ได้นอน อาหารก็กินหน้าจอคอมพิวเตอร์  หลังจากเล่นเกมแบบไม่หยุดติดต่อกันถึง ๓๖ ชั่วโมง ร่างกายเขาก็ทนไม่ไหว ถึงกับช็อคและเสียชีวิตคาแป้น

เสน่ห์อย่างหนึ่งของเกมออนไลน์คือให้ความตื่นเต้น เพราะเต็มไปด้วยสิ่งท้าทายที่กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกอยากเอาชนะ  หากแพ้ก็อยากแก้มือเพื่อเป็นผู้ชนะให้ได้  ถ้าชนะก็ดีใจ อยากเล่นต่อเพราะติดใจในชัยชนะ (และรางวัลที่ได้รับ ไม่ว่าจะเป็นคะแนนหรือสัญลักษณ์ต่างๆ)  นี้คือเสน่ห์อย่างเดียวกับที่ทำให้คนติดการพนัน เป็นแต่ว่ารางวัลที่ได้จากการพนันนั้นสามารถเอาไปซื้อความสุขอย่างอื่นได้อีกเพราะเป็นเงินจริงๆ

แต่สิ่งหนึ่งที่การพนันไม่สามารถให้ได้ ก็คือความรู้สึกมีอำนาจมากกว่าเดิม  เกมออนไลน์ได้สร้างโลกเสมือนจริงที่ผู้เล่นมีความสามารถนานัปการ ซึ่งสามารถเพิ่มพูนได้เรื่อยๆ จนกลายเป็นยอดมนุษย์ มีอำนาจควบคุมสิ่งต่างๆ ได้มากมาย ซึ่งมิอาจทำได้ในโลกแห่งความเป็นจริง  มันยังทำให้ผู้เล่นรู้สึกว่าเป็นพระเอกหรือวีรชนเพราะได้ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก หรือปราบปรามศัตรูผู้หมายทำลายโลก  ความรู้สึกอย่างนี้มีความหมายต่อผู้เล่นมาก เพราะไม่อาจหาได้ในชีวิตจริง  ใครๆ ก็อยากเป็นคนเก่ง เป็นพระเอกนางเอก หรือวีรชนทั้งนั้น  ในอดีตคนส่วนใหญ่ทำได้อย่างมากก็แค่ฝันกลางวัน แต่เกมออนไลน์ได้สร้างโลกเสมือนจริงที่ตอบสนองความต้องการดังกล่าว ทำให้ความรู้สึกว่า “กูแน่” นั้นดูเข้มข้นสมจริงยิ่งกว่าเดิม  สำหรับคนที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้แพ้ คนไม่เก่ง ไร้อำนาจในชีวิตจริง อะไรจะทำให้มีความสุขและชวนลุ่มหลงเท่ากับการหลุดเข้าไปในโลกแบบนี้

พูดง่ายๆ เสน่ห์ที่สำคัญที่สุดของเกมออนไลน์ก็คือ การสนองและปรนเปรออัตตาของผู้เล่น ทำให้รู้สึกกระชุ่มกระชวยหรือมีชีวิตชีวาขึ้นมา (ซึ่งสัมพันธ์กับสารเคมีบางอย่างที่หลั่งออกมาด้วย) ในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยการแข่งขันกันอย่างรุนแรง คนส่วนน้อยเท่านั้นที่เป็นผู้ชนะ ขณะที่คนส่วนใหญ่รู้สึกว่าตนเป็นผู้แพ้ ไร้ความสามารถ ไม่มีน้ำยา (ที่จริงแค่รู้สึกว่าเป็นคนธรรมดาก็ยากที่คนสมัยนี้จะรับได้ เพราะถูกปลูกฝังว่าชีวิตนี้จะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อเป็นผู้ชนะหรือคนเก่งเท่านั้น)

ด้วยเหตุนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่มีผู้คนเป็นอันมากจมหายเข้าไปในโลกเสมือนผ่านเกมออนไลน์ จนลืมโลกแห่งความเป็นจริง  หลายคนเพลินกับการเป็นวีรบุรุษช่วยเด็กที่น่าสงสารในโลกเสมือนจริง จนลืมลูกน้อยของตัวที่บ้านไป  ในที่สุดจึงกลายเป็นผู้ร้ายในโลกแห่งความเป็นจริงดังสามีภรรยาในเรื่องข้างต้น

เกมออนไลน์เมื่อเล่นมากๆ ย่อมทำให้ผู้คนลืมตัว และเมื่อลืมตัวแล้ว ก็สามารถลืมทุกอย่างได้ ไม่ว่าจะเป็นลูกเมียพ่อแม่หรือหน้าที่ความรับผิดชอบ ทำให้เกิดความเสียหายตามมามากมาย  แต่คนเราไม่ได้ลืมตัวเพราะเกมออนไลน์เท่านั้น มีอีกมากมายที่ทำให้เราลืมตัวได้  แต่ไหนแต่ไรมาสิ่งที่ทำให้ลืมตัวมีชื่อเรียกรวมๆ ว่า “อบายมุข”  พุทธศาสนาได้จำแนกออกเป็น ๖ อย่าง คือสุรายาเสพติด การพนัน การเที่ยวกลางคืน การเที่ยวดูการละเล่น การคบคนชั่ว และความเกียจคร้าน  แต่ในปัจจุบันการจำแนกเท่านี้ย่อมไม่เพียงพอเสียแล้ว เพราะช่องทางแห่งความเสื่อมอันเนื่องจากความลืมตัวนั้นได้เพิ่มจำนวนมากขึ้น  นอกจากเกมออนไลน์แล้ว โทรทัศน์ ภาพยนตร์ หรือแม้แต่การช็อปปิ้งก็สามารถทำให้เกิดการเสพติดจนลืมตัวได้

ทุกวันนี้สำหรับคนจำนวนไม่น้อย การช็อปปิ้งเป็นมากกว่ากิจวัตร เพราะกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวันไปเสียแล้ว  เลิกเรียนหรือเลิกงานเมื่อไร เป็นต้องไปเที่ยวห้าง มิใช่เพื่อเสพสิ่งปรนเปรอทางผัสสะทั้งห้า หรือสนองความอยากทางกามเท่านั้น  หากยังเพราะรู้สึกมีอำนาจเมื่อได้ซื้อสิ่งของตามใจนึกและได้รับบริการจากผู้คน  ดังนั้นเมื่อไปเที่ยวห้างแล้วไม่ซื้ออะไรเลย (ไม่ว่าสินค้าหรือบริการ) ก็เหมือนกับไม่ได้ไป แม้จะไม่มีเงินก็ต้องดิ้นรนหาบัตรเครดิตมาจนได้  ยิ่งจ่ายเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุข และยิ่งมีความสุขก็ยิ่งจ่ายจนหนี้ล้นพ้นตัว  ของที่ซื้อมานั้นจำนวนมากอาจจะไม่ได้ใช้เลย แต่ก็ยังซื้ออีก เพราะความสุขอยู่ที่การซื้อและได้มา หาได้อยู่ที่การใช้ไม่  ถ้าถามว่านักช็อปปิ้งเสพติดอะไร ก็ต้องตอบว่าเสพติดประสบการณ์การช็อปปิ้ง  ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงทุรนทุรายกระสับกระส่ายเป็นอย่างยิ่งเมื่อคนเสื้อแดงยึดราชประสงค์ เพราะทำให้ไม่สามารถไปช็อปปิ้งในศูนย์การค้าชื่อดังบริเวณนั้นนานถึงเดือนครึ่ง

กระแสบริโภคนิยมดูเหมือนจะทำให้เรามีเสรีภาพมากขึ้นในการเสพและแสวงหาความสุข แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือผู้คนมีอิสรภาพในทางจิตใจน้อยลง เพราะตกเป็นทาสของอบายมุขทั้งเก่าและใหม่มากขึ้น  ชีวิตจึงติดอยู่ในกับดักแห่งความทุกข์ ยากจะไถ่ถอนออกมาได้  แม้จะได้รับความสุขอยู่บ้างจากการเสพวัตถุ แต่ก็ชโลมใจชั่วคราว เพราะเป็นสุขที่เจือด้วยทุกข์ และทำให้ลุ่มหลงหรือลืมตัวหนักขึ้น

ทั้งโทรทัศน์ ภาพยนตร์ เกมออนไลน์ หรือแม้แต่การช็อปปิ้งก็สามารถทำให้เราเกิดการเสพติดจนลืมตัว จนกลายเป็น “อบายมุข” สำหรับคนยุคปัจจุบันได้

หากปรารถนาชีวิตที่เป็นสุขอย่างแท้จริง จะต้องพยายามยกจิตให้เป็นอิสระจากอบายมุขทั้งหลาย รวมทั้งพึ่งพาความสุขจากวัตถุให้น้อยลง  เริ่มต้นด้วยการลดการเสพจนสามารถเลิกได้ในที่สุด ตั้งแต่อบายมุขอย่างหยาบ (สุรา ยาเสพติด การพนัน สถานเริงรมย์) จนถึงอบายมุขอย่างละเอียด (เกมออนไลน์ การช็อปปิ้ง ละครโทรทัศน์)  ขณะเดียวกันก็มีความสุขอย่างประณีตมาทดแทน เช่น สุขจากสมาธิภาวนา สุขจากการทำบุญสร้างกุศล สุขจากการบำเพ็ญประโยชน์ เป็นต้น  ยิ่งได้สัมผัสกับความสุขประณีตมากเท่าไร ก็ยิ่งเห็นชัดว่าสุขจากอบายมุขและวัตถุนั้นเต็มไปด้วยโทษ ไม่น่าพัวพันลุ่มหลง  หากทำได้มากกว่านั้นคือฝึกฝนจิตใจให้รู้ตัวทั่วพร้อมอยู่เสมอ ก็จะไม่ถูกกิเลสครอบงำจนลืมตัว หรือมัวแต่ปรนเปรออัตตาจนถลำสู่ความเสื่อม  สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือ ปัญญาที่ตระหนักชัดว่าความสุขที่แท้อยู่ที่ใจซึ่งโปร่งโล่ง สงบเย็น เป็นอิสระ ไม่หลงใหลติดยึดในตัวตน  ความตระหนักชัดดังกล่าวจะเป็นทั้งฐานที่มั่นคงและพลังขับเคลื่อนให้ชีวิตเป็นอิสระอย่างแท้จริง

วิธีการดังกล่าวพุทธศาสนาเรียกว่าไตรสิกขา หรือการฝึกฝนพัฒนาตนอย่างเป็นระบบครบถ้วนทั้งสามด้าน คือด้านพฤติกรรม (ศีล) ด้านอารมณ์ (สมาธิ) และด้านความเข้าใจ (ปัญญา)  ไตรสิกขามิใช่สิ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่ลุ่มหลงในวัตถุเท่านั้น หากยังจำเป็นสำหรับทุกคนที่ปรารถนาชีวิตที่ดีงาม ดังนั้นจึงควรทำเป็นประจำในชีวิตประจำวัน

อย่างไรก็ตามในชีวิตประจำวันนั้น คนทั่วไปมักทำได้ไม่ต่อเนื่องเพราะมีภารกิจรัดตัว ดังนั้นจึงควรจัดหาเวลาเพื่อการฝึกฝนพัฒนาตนอย่างจริงจัง  ในประเพณีของพุทธศาสนา ช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการฝึกฝนพัฒนาตนก็คือ ช่วงเข้าพรรษา  ในช่วงสามเดือนดังกล่าวกุลบุตรจึงนิยมบวชพระเพื่อศึกษาปฏิบัติธรรม  ส่วนผู้ที่ยังครองเพศคฤหัสถ์อยู่ ก็เข้าวัดถือศีล บำเพ็ญภาวนา ตลอดพรรษาเช่นกัน หรืออย่างน้อยก็ทุกวันพระ

ในอดีตการถือศีลช่วงเข้าพรรษา มักเป็นการถือศีลตามประเพณี เช่น ถือศีล ๕ หรือศีล ๘ ซึ่งล้วนเป็นไปเพื่อการการละอบายมุขหรือห่างไกลจากกามสุข (เช่น ถือพรหมจรรย์ ไม่กินอาหารหลังเที่ยง ไม่ดูหนังฟังเพลงหรือละเล่น)  แต่ทุกวันนี้มีอบายมุขอย่างใหม่เข้ามาพัวพันในชีวิตของเรามากขึ้น จึงควรใช้ช่วงเวลาดังกล่าวในการลดละอบายมุขอย่างใหม่เหล่านี้ด้วย  เช่น ลดการช็อปปิ้ง พักการเล่นเกมออนไลน์ ชมรายการบันเทิงทางโทรทัศน์ให้น้อยลง  หรือมีวันปลอดความบันเทิงอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง โดยอาจทำเป็นส่วนตัวหรือร่วมกันทำในครอบครัว  ใครที่อยากละเลิกนิสัยไม่ดีบางประการ เช่น ตื่นสาย ติดกาแฟ ชอบนินทา ขี้บ่น ก็น่าจะทำในช่วงนี้ด้วยเช่นกัน

นอกจากการลดละอบายมุขและพฤติกรรมบางอย่างที่เป็นโทษแล้ว ทุกวันควรมีเวลาเจริญสมาธิ ทำจิตให้สงบผ่องใสอย่างน้อยวันละ ๕-๑๐ นาที หรือสวดมนต์ทบทวนพุทธวัจนะทุกคืนก่อนนอน  กิจกรรมเหล่านี้หากทำร่วมกันเป็นกลุ่ม (หรือผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์) ก็จะช่วยให้เกิดกำลังใจและความมุ่งมั่นที่จะทำต่อเนื่องทั้งพรรษา

ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นการบำเพ็ญประโยชน์ตน  แต่จะดียิ่งขึ้นหากมีการบำเพ็ญประโยชน์ท่านให้มากขึ้นด้วย เช่นบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนกิจกรรมที่มีประโยชน์ หรือเสนอตัวเป็นจิตอาสา ช่วยเหลือส่วนรวมหรือเกื้อกูลผู้ตกทุกข์ได้ยาก  อันที่จริงกิจกรรมดังกล่าวไม่เพียงช่วยให้ผู้อื่นมีความสุขเท่านั้น หากยังนำความสุขมาสู่ผู้กระทำด้วย ก่อให้เกิดความปลื้มปีติและภาคภูมิใจ  หลายคนได้พบว่าชีวิตที่เคยว่างเปล่านั้นได้รับการเติมเต็ม รู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่ามากขึ้น  ใช่หรือไม่ว่าเป็นเพราะรู้สึกว่าชีวิตว่างเปล่า ผู้คนจึงพยายามไขว่คว้าความสุขทางวัตถุมาชดเชย หรือไม่ก็หนีปัญหาด้วยการไปหมกมุ่นกับอบายมุข รวมทั้งจมอยู่ในโลกเสมือนจากเกมออนไลน์  แต่เมื่อใดก็ตามที่จิตใจไม่รู้สึกว่างเปล่าอีกต่อไป สิ่งยั่วยวนเหล่านั้นก็จะไร้ความหมาย

หากชาวพุทธร่วมกันทำเทศกาลเข้าพรรษาให้มีความหมายต่อการฝึกฝนพัฒนาตน โดยประยุกต์ให้สอดคล้องกับยุคสมัยแล้ว ไม่เพียงชีวิตจะบังเกิดความสงบเย็นและเป็นอิสระเท่านั้น แต่ยังจะช่วยให้สังคมไทยน่าอยู่กว่านี้มาก


ภาพประกอบ

พระไพศาล วิสาโล

ผู้เขียน: พระไพศาล วิสาโล

เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต และประธานมูลนิธิเครือข่ายพุทธิกา