ออกกำลังใจกันบ้างดีกว่า

วิชิต เปานิล 13 พฤศจิกายน 2004

ทุกวันนี้การออกกำลังกายดูเหมือนจะเป็นกระแสนิยมที่ได้รับการยอมรับกันอย่างกว้างขวาง เห็นได้ไม่ยากจากการมีธุรกิจสถานที่ออกกำลังกายหรือฟิตเนสเซ็นเตอร์เปิดกันมากมายในเมือง ตามสวนสาธารณะ สนามกีฬา หรือแม้ที่ว่างกลางหมู่บ้านก็จะพบว่ามีการจ๊อกกิ้ง เล่นบอล หรือเต้นแอโรบิกกันอยู่ทั่วไป ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องที่ดีที่ควรสนับสนุนกันต่อไป

ความสนใจในการออกกำลังกาย นอกจากจะเป็นผลจากการทุ่มรณรงค์ของภาครัฐอย่างเอาจริงเอาจังแล้ว ส่วนหนึ่งยังถูกหนุนเสริมโดยกระแสสังคมบริโภคในยุคนี้ด้วย

ในสังคมบริโภคผู้คนจะให้ความสำคัญต่อร่างกายสูงมาก เพราะถือว่าความสุขในชีวิตทั้งหมดจะเข้าถึงได้ด้วยการกินการใช้ผ่านร่างกายนี้ ด้วยเหตุนี้จึงต้องพยายามดูแลรักษาร่างกายให้ดูดีและพร้อมเพื่อการบริโภคอยู่เสมอ เมื่อเจ็บป่วยขึ้นมาก็ต้องรีบรักษาให้หายทำให้ร่ายกายสบายที่สุด ในยามปกติก็ต้องดูแลให้ร่ายกายนี้ดูสมส่วนสดใสอ่อนกว่าวัย ซึ่งทำได้โดยการบริโภคสินค้าและบริการต่างๆ อีกเช่นกัน

การให้ความสำคัญต่อร่างกายอย่างมากนี้ ส่งผลให้เราละเลยคุณค่าหรือความสำคัญกับอีกด้านหนึ่งของชีวิตไป นั่นคือมิติทางจิตใจ เราให้ความสำคัญกับความสบายกายมากกว่าความสบายใจ เรามองคนที่ร่างกายมากกว่าจะเรียนรู้จิตใจกัน และเราก็ทุ่มเททรัพยากรและเวลาเพื่อการ “ออกกำลังกาย” โดยแทบจะไม่เคยพูดถึงการ “ออกกำลังใจ” ของเราเลย

ในวัฒนธรรมไทยเราถือว่ากายกับใจเป็นสองด้านของเหรียญเดียวกันที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ต้องดูแลไปพร้อมๆ กัน การละเลยต่อด้านใดด้านหนึ่งไม่อาจนำไปสู่ชีวิตที่สมบูรณ์ได้

แม้ว่าคำสอนในพุทธศาสนาที่ดูเหมือนว่าเน้นแต่เรื่องของจิตใจ แต่หากศึกษาพระวินัยของพระภิกษุแล้วจะเห็นชัดว่าพระพุทธองค์ทรงให้ความสำคัญกับการดูแลร่างกายไว้ไม่น้อย ถึงขนาดที่ว่าหากมีพระภิกษุอาพาธในวัดแล้วไม่มีใครมาอุปัฏฐากดูแล ท่านให้ปรับอาบัติแก่พระทุกรูปในวัดนั้น

ปัญหาและความวุ่นวายใจของชีวิตผู้คนในยุคนี้ หากมองโดยภาพรวมแห่งความสัมพันธ์ระหว่างกายและจิตแล้ว น่าจะเป็นผลที่สืบเนื่องมาจากการใช้ชีวิตที่ไม่สมดุลของทั้งสองด้านนั่นเอง นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนที่ทำให้เราจะต้องหันมาให้ความสนใจเรื่องของจิตใจ หรือมาออกกำลังใจกันมากขึ้น

หลักการออกกำลังใจก็ตั้งอยู่บนหลักการเดียวกันกับการออกกำลังกาย กล่าวคือ ต้องพยายามใช้อวัยวะส่วนต่างๆ อย่างสมดุล โดยพยายามเสริมสร้างศักยภาพให้กับส่วนที่ไม่ใช้และเปิดโอกาสส่วนที่ใช้มากให้พักคลายลงบ้าง

ทุกวันนี้เรานั่งทำงานกันมาก ใช้แรงกายน้อย เหงื่อออกน้อย  ในการออกกำลังกายเราจึงต้องเข้าฟิตเนส ยกน้ำหนัก ปั่นจักรยาน หรือเต้นแอโรบิกกันให้เหงื่อออก ให้อวัยวะน้อยใหญ่ได้ทำงานเพิ่มขึ้น

ในทางตรงข้าม จิตใจของเราทุกวันนี้ถูกกระตุ้นให้คิดโลดแล่นตามสิ่งเร้าและข้อมูลข่าวสารอยู่ตลอดเวลา การออกกำลังใจจึงต้องไม่ใช่การไปกระตุ้นให้จิตใจฟุ้งกระจายมากยิ่งขึ้น แต่ต้องทำในสิ่งที่ตรงข้ามที่ใจไม่ค่อยได้ทำ นั่นคือ การทำจิตใจให้สงบ นิ่ง เย็นลงกว่าเวลาปกติ

วิธีการก็สามารถเลือกใช้เทคนิคที่หลากหลาย เช่นเดียวกับที่เรามีหลายวิธีในการออกกำลังกายให้เลือกกันตามความชอบ

แต่ด้วยเหตุที่สังคมเราปล่อยปละละเลยไม่ค่อยได้สนใจการออกกำลังใจกันนัก เทคนิควิธีการที่มีอยู่ทุกวันนี้จึงดูโบราณตกยุค ไม่หวือหวาทันสมัยเหมือนการออกกำลังกาย โดยส่วนใหญ่ยังคงผูกโยงอยู่กับศาสนา เช่น การเข้าวัดฟังธรรม ฝึกสมาธิวิปัสสนา หรือฝึกเจริญสติ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยสนใจ

ปัญหาชีวิตของผู้คนยุคนี้ เป็นสัญญาณเตือนให้เราต้องหันมาสนใจเรื่อง “การออกกำลังใจ” กันมากขึ้น

หากสังคมให้ความสำคัญและความสนใจต่อมิติทางจิตใจมากขึ้น ก็จะช่วยให้เกิดการพัฒนาแนวทางการออกกำลังใจที่เหมาะสมัยยิ่งขึ้น นอกเหนือจะการฝึกแบบมาตรฐานดั้งเดิมที่หลายคนคุ้นเคยแล้ว จะต้องมีการพัฒนาให้เหมาะกับวิถีชีวิตของคนยุคนี้ด้วย

อาจต้องใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีมาประกอบมากขึ้น เช่น ประยุกต์ใช้ดนตรี การเคลื่อนไหว การแสดง และการละเล่นต่างๆ เพื่อให้คนทุกกลุ่มทุกวัยได้มีโอกาสเสริมสร้างความแข็งแรงของจิตใจ

ขณะเดียวกันก็ควรเป็นวิธีการที่เรียบง่ายธรรมดา ไม่ตกอยู่ภายใต้กระแสการบริโภคไปเสียทั้งหมด การมีเพียงพื้นที่เล็กๆ บรรยากาศที่เงียบๆ สบายๆ ก่อนนอน เพื่อสำรวมจิตใจให้สงบเย็นผ่อนคลาย มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ ณ ขณะนั้นสักพักหนึ่ง ก็ถือเป็นการออกกำลังใจชั้นเยี่ยมแล้ว

หลังจากออกกำลังกายแล้ว มาออกกำลังใจควบคู่ไปด้วย จะช่วยให้เรามีจิตใจปลอดโปร่งมีความสุขและเข้มแข็งยิ่งขึ้น มีความสุขสงบภายในจิตใจ ซึ่งจะช่วยไม่ให้เราหลงวิ่งไล่ตามสิ่งที่เขาเอามาล่อใจให้เราตื่นเต้นได้อย่างง่ายๆ อีกด้วย

เริ่มต้นวันนี้เลยครับ แล้วอย่าลืมชวนคนข้างๆ คุณมาออกกำลังใจด้วยกันนะ


ภาพประกอบ