เมื่อเราเติมเต็มความปรารถนา

ชัยยศ จิรพฤกษ์ภิญโญ 23 มีนาคม 2008

ชายหนุ่มคนหนึ่งถูกหยอกล้อจากเพื่อนร่วมงานว่าช่วงนี้ดูสดชื่นแจ่มใส ชายหนุ่มยิ้มรับพร้อมกับมีเสียงจากคนรอบข้างว่า “เขากำลังมีแฟน” แล้วหน้าของชายหนุ่มก็กลายเป็นสีชมพู ดวงตาและสีหน้าบ่งบอกความเขินอาย และความสุข  สิ่งที่เปลี่ยนไปอีกอย่างของชายหนุ่มคนนี้คือ พฤติกรรม อุปนิสัยใจคอสุภาพ อ่อนโยนมากขึ้น การปฏิบัติตัวก็ดูมีอัธยาศัยไมตรี ไม่หงุดหงิดฟุ้งซ่านให้กระทบคนอื่น  สำหรับชายหนุ่มคนนี้ การมีแฟนอาจไม่ได้หมายถึงการมีคนมาชอบพอ แต่บางสิ่งในตัวชายหนุ่ม การมีแฟนหมายถึงการได้มีความสัมพันธ์ ความผูกพันกับคนพิเศษด้วยความรัก  มันทำให้บางสิ่งในใจได้รับการเติมเต็ม และสิ่งที่ได้รับการเติมเต็มก็ทำให้ชายหนุ่มคนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

หากบ้านใครมีเด็กน้อย ประสบการณ์ที่เราจะได้พบบ่อย ก็คือ ทุกครั้งที่เด็กร้องไห้งอแง โมโห เอาแต่ใจ หากพ่อแม่หรือใครก็ตามที่อยู่ในบ้านโอบกอดด้วยความรัก เสียงร้องไห้ อาการโวยวายของเด็กน้อยก็จะค่อยๆ ทุเลาและสงบลงได้ในที่สุด  ลึกลงไปในจิตใจของเด็กน้อย ความรักเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เด็กน้อยพบความสุขสงบในจิตใจ แล้วเด็กน้อยก็ไม่จำเป็นต้องร้องไห้ ดิ้นรนอีกต่อไป ความปรารถนาแห่งชีวิตได้รับการเติมเต็มแล้ว

ความรักไม่เพียงนำพาซึ่งความสดใสร่าเริง แต่ยังนำมาซึ่งความหวังและความศรัทธา  รอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่มาจากใจของเรา คือ ข้อพิสูจน์อันดีเยี่ยมของมนุษย์เราทุกคน  รอยยิ้มมากขึ้น หัวเราะมากขึ้น ราวกับโลกทั้งใบเป็นสีชมพู อุปสรรคขวากหนามใดๆ ก็ไม่สามารถกีดขวางได้  ความรักนำพาความหวังและความศรัทธาต่อชีวิต ต่อโลกที่แวดล้อม  แม้แต่ทารกหรือเด็กน้อยที่ไม่รู้ประสา ทุกครั้งที่ร้องไห้ด้วยสาเหตุใดก็ตาม การลูบไล้โอบกอด คือ ยาวิเศษที่ทำให้เด็กน้อยกลับมาหัวเราะได้อีกครั้ง  และแม้เมื่อเด็กน้อยคนนี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่จนเข้าสู่วัยชรา การลูบไล้และโอบกอดก็ยังเป็นยาวิเศษที่ได้ผลชะงัดเสมอ

แต่เพราะการได้รัก และได้รับรัก เป็นสิ่งที่อยู่เหนือพ้นการควบคุม เราไม่สามารถบังคับจิตใจของเราหรือของใครก็ตามให้รัก หรือไม่รักได้ ความผิดหวังจึงเป็นเหมือนเงาที่ติดตัวมาด้วยเสมอ  ในช่วงเวลาของความรัก  ความไม่มั่นคง ความหวั่นระแวง รวมถึงความกล้า ความพยายามก็พร้อมที่จะแสดงออก  เราพร้อมที่จะอดทนอดกลั้น พร้อมที่จะปรับตัวเองเพื่อให้เป็นอย่างที่อีกฝ่ายต้องการ พร้อมกับที่ความอดทนในบางเรื่องของเราก็หายไป เราหวั่นไหวง่ายขึ้น ความเป็นตัวของตัวเองสั่นคลอนมากขึ้น  ด้านหนึ่งของความรักนำมาซึ่งแสงสว่างแห่งชีวิต แต่เมื่อความรักนั้นผิดหวัง แสงสว่างก็กลายเป็นความมืดมิด ชีวิตดูไร้ความหมาย หมดสิ้นเรี่ยวแรง คุณค่าและตัวตนของเราดูจางหายไปทันที

การมีแฟนอาจไม่ได้หมายถึงการมีคนมาชอบพอ แต่อาจหมายถึงการได้มีความสัมพันธ์หรือความผูกพันกับคนพิเศษ ซึ่งทำให้บางสิ่งในใจได้รับการเติมเต็ม

เวอร์จิเนีย ซาเทียร์ นักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงได้ให้ทัศนะว่า ลึกลงไปในพฤติกรรมที่เราแสดงออก เปรียบได้กับภูเขาน้ำแข็งที่เรามองเห็นได้เฉพาะยอดน้ำแข็ง ซึ่งก็คือ พฤติกรรมที่เราพบเห็น  ลึกลงไปภายในมีสิ่งที่เรามองไม่เห็น แต่สัมผัสได้ คือ ส่วนที่เป็นความรู้สึก โลกทัศน์ ความคาดหวัง ความปรารถนา และตัวตน  ยามเมื่อความรักผ่านเข้ามา ภูเขาน้ำแข็งในจิตใจของเราก็สั่นสะเทือนด้วย อารมณ์ความรู้สึกในใจดูเข้มข้น ตื่นตัว และร้อนรน  เราสามารถกลายเป็นคนที่น่ารักและไม่น่ารักในเวลาเดียวกันได้ คุณสมบัติที่ดีในตัวเราสามารถเปลี่ยนเป็นโทษสมบัติได้ทันที เมื่อคุณสมบัติเหล่านี้มันเข้มข้นเกินไป  เช่น การชอบช่วยเหลือ กลายเป็นการจุ้นจ้าน ใจดีกลายเป็นอคติ รอบคอบกลายเป็นความหวาดระแวง และวินัยก็กลายเป็นความเข้มงวด  ความมุ่งมั่น ความพยายาม ความต้องการให้ได้กลับกลายเป็นตัวปัญหาเสียเอง

ความรักไม่เพียงนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลง แต่ยังนำมาซึ่งความคาดหวัง โดยไม่รู้ตัวเราจะเริ่มมีความคาดหวังและเรียกร้องสิ่งต่างๆ และเมื่อนั้นสุข ทุกข์ พอใจ ไม่พอใจของชีวิต ก็ถูกฝากไว้ในกำมือของคนอื่น  ท่าทีความคาดหวังเป็นอย่างไรก็จะขึ้นกับโลกทัศน์ในฐานะตัวขับเคลื่อนชีวิต  โลกทัศน์คือ มุมมอง ทัศนะที่เรารับรู้ต่อตนเอง ต่อสภาพแวดล้อมสิ่งรอบตัว  การเข้าใจโลกทัศน์ในตัวเองเป็นเรื่องสำคัญไม่แตกต่างจากการเข้าใจตนเอง เริ่มต้นด้วยการสำรวจตัวเองด้วยคำถามง่ายๆ ว่า “เราคิดอย่างไรกับความรัก” “เรามองตนเองกับเรื่องความรักอย่างไร” ฯลฯ  คำถามเหล่านี้ไม่ได้ต้องการคำตอบที่มาจากการคิดนึกเท่านั้น แต่ต้องเป็นคำตอบที่มาจากความรู้สึก ความมีประสบการณ์ในตัวเอง

สำหรับพวกเราบางคน โลกทัศน์ต่อความรักเป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ โดยเฉพาะการเรียนรู้ในความรักต่อตนเอง แทนการมีและให้คุณค่ากับตนเองโดยฝากไว้กับผู้อื่น  การได้กลับมาดูแลและรักตนเองถือเป็นภารกิจสำคัญของชีวิต เพราะหมายถึงการได้กลับมาดูแลโลกภายในตัวเราเอง แทนการวิ่งวนและเหน็ดเหนื่อยกับโลกภายนอก  ราคาที่หลายคนต้องจ่ายเมื่อฝากชีวิตกับโลกภายนอก คือ พลังชีวิตต้องติดจมอยู่กับระดับชั้นต่างๆ ไม่สามารถอยู่กับการเติมเต็มดูแลตัวเองที่ความปรารถนาของชีวิต  เช่น เมื่อเราติดจมอยู่ที่ระดับความรู้สึก เราก็จะไม่ยอมไถ่ถอน ไม่ยอมปล่อยวางซึ่งความรู้สึกบางอย่างที่ติดค้าง  เรายังคงเศร้าเสียใจกับความผิดหวัง กับเรื่องราวที่ผ่านพ้นไปนานแล้ว  หรือคุมแค้น ไม่ให้อภัยกับเรื่องราวที่ผ่านไปหลายปี  หรือการติดจมอยู่กับโลกทัศน์ที่กลายเป็นสิ่งกักขังตัวเรา เช่น เราต้องเป็นคนดี คนน่ารัก ไม่ควรโกรธ เราต้องเป็นผู้ชนะ  หรือชีวิตที่ติดจมกับความคาดหวังด้วยการแสวงหาบางสิ่งตลอดเวลา

ชีวิตเมื่อกำเนิดขึ้นมา เราต่างล้วนมีคุณค่าและคู่ควรกับความรักและมีความสุขกับเรื่องราวปัจจุบัน  ความรักที่เราอาจโชคดีได้รักและได้รับรักจากพ่อแม่ คนรอบข้างและคนพิเศษ  แต่เมื่อเราเติบโตมาถึง ณ ขณะนี้ เราเติบโตมากพอที่จะรักตนเอง ตอบสนองความปรารถนาแห่งชีวิตของเราเองได้ ด้วยการเรียนรู้โลกภายในตัวเรา เพื่อที่ชีวิตจะได้รับการเติมเต็มจากตัวเรา โดยลดทอนการต้องพึ่งพิงสิ่งภายนอกได้

ขอทุกท่านได้ประสบสิ่งดีงามจากความรัก แม้ความผิดหวังมาเยือน แต่ความปรารถนาแห่งชีวิตยังคงได้รับการเติมเต็มด้วยการมีความรักและมั่นคงในคุณค่าภายในตนเอง  เรียนรู้และทำความเข้าใจตนเองต่อความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้น ตระหนักรู้ต่อความคาดหวังที่อาจผุดขึ้นโดยไม่ทันคาดคิด  และทบทวนโลกทัศน์ซึ่งอยู่เบื้องหลังทุกๆ สิ่งภายในตัวเรา  เพื่อท้ายที่สุดเราจะได้สามารถเติมเต็มและดูแลความปรารถนาแห่งชีวิตที่เป็นแหล่งพลังชีวิตในตัวเรา  แม้ต้องประสบความผิดหวังก็ตาม


ภาพประกอบ

ชัยยศ จิรพฤกษ์ภิญโญ

ผู้เขียน: ชัยยศ จิรพฤกษ์ภิญโญ

นอกเหนือจากบทบาทนักเขียนประจำคอลัมน์ งานสำคัญ คือ กระบวนกร นักจิตปรึกษา, enneagram coach สนใจและรักที่จะทำงานด้านการทำงานเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงกับโลกภายในผ่านทักษะ ประสบการณ์เรียนรู้ทั้งงานอบรม การทำจิตปรึกษา และงานเขียน