เล็กน้อยแต่ทรงคุณค่า

พระไพศาล วิสาโล 1 กรกฎาคม 2015

ทุกอย่างในโลกนี้มีคุณค่าทั้งนั้น แม้กระทั่งใบหญ้า ก้อนกรวด เศษไม้ ใบแห้งๆ  ไม่ใช่แค่ดอกไม้สูงชาติ เช่น กล้วยไม้ เท่านั้นที่สวย  ดอกไม้ชนิดอื่นก็สวยเหมือนกัน ใบไม้ก็สวยเหมือนกัน ก้อนกรวดก็สวยเหมือนกัน อยู่ที่ว่าเราจะมองเห็นหรือมองเป็นหรือไม่  บางครั้งคุณค่าเหล่านี้ก็ต้องอาศัยบริบท คือถ้าอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม ความงามหรือคุณค่าก็ปรากฏ ตรงนี้จะเรียกว่าเป็นสัจธรรมก็ได้ เป็นความจริงที่ถูกมองข้ามไป สัจธรรมข้อนี้โยงมาถึงตัวเราได้ด้วย

คนบางคนใครๆ ก็มองว่าไม่มีคุณค่า แต่นั่นเป็นการมองแบบฉาบฉวย ไม่ได้มองอย่างรอบด้าน เพราะคนทุกคนมีคุณค่าทั้งนั้น แม้แต่คนที่ดูเหมือนจะเกกมะเหรกเกเรเขาก็มีความดีอยู่ในตัว เพียงแต่ว่าไม่มีคนเห็น หรือแม้แต่เจ้าตัวเองก็มองไม่เห็น แต่ถ้าหากมีคนชี้หรือช่วยกันดึงเอาความดีออกมา ก็จะเกิดพลังสร้างสรรค์ได้

มีนักเรียนชั้นหนึ่ง เป็นวัยรุ่นและผู้หญิงทั้งนั้น แทบทั้งห้องค่อนข้างเกเร ไม่สนใจเรียนเลย ครูสอนก็ไม่สนใจฟัง เอาแต่พูดคุยกัน ครูให้ทำการบ้านก็ไม่สนใจทำ จนครูรู้สึกเบื่อหน่าย มองไม่เห็นเลยว่าเด็กเหล่านี้จะดีขึ้นได้อย่างไร เกือบจะถอดใจแล้ว  วันหนึ่งครูได้ความคิดมาอย่างหนึ่ง จึงบอกให้นักเรียนทุกคนหยิบกระดาษมาคนละแผ่น แล้วก็เขียนชื่อของเพื่อนลงไปเรียงตั้งแต่หมายเลข ๑ ถึง ๓๐  ทีนี้ครูบอกว่าให้ทุกคนเขียนความดีของเพื่อนหรือสิ่งที่น่าประทับใจของเพื่อนลงไป ใครมีความดีอะไรบ้าง ก็เขียนลงไป นักเรียนก็ทำตามทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าครูให้ทำไปทำไม

เมื่อเขียนเสร็จ ครูก็เก็บกระดาษทุกแผ่น  เมื่อกลับไปบ้านก็รวบรวมความดีของแต่ละคนที่เพื่อนเขียนถึง มาใส่ไว้ในกระดาษแผ่นเดียวกัน วันรุ่งขึ้นก็แจกกระดาษเหล่านั้นให้แก่ทุกคนที่เพื่อนเอ่ยถึง หลายคนอ่านแล้วก็ประหลาดใจมาก เพราะไม่คิดว่าตัวเองมีความดีที่เพื่อนประทับใจ สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ หลังจากนั้นนักเรียนก็เรียบร้อยขึ้น ตั้งใจเรียน จนกระทั่งเรียนจบกันทุกคน

สิบปีผ่านไป หนึ่งในนั้นเสียชีวิต เพื่อนๆ ก็ไปร่วมงานศพของเขา เมื่อเสร็จพิธีแม่ของผู้ตายเห็นหลายคนจำได้ว่าเป็นเพื่อนร่วมชั้นของลูก จึงเข้าไปหาและชวนคุย  คุยไปสักพักคุณแม่ก็หยิบเอากระดาษซึ่งเก่ายับยู่ยี่ขึ้นมา และบอกว่านี้คือกระดาษที่ลูกเก็บใส่กระเป๋าอยู่เป็นประจำ เวลาที่ลูกเบื่อท้อแท้หรือเจออุปสรรคลูกจะหยิบกระดาษแผ่นนี้มาอ่าน ทำให้เกิดกำลังใจ  เพื่อนเหล่านี้เห็นก็จำได้ว่าเป็นกระดาษที่ครูแจกให้แก่นักเรียนในวันนั้น หลายคนก็บอกว่าตัวเองก็เก็บกระดาษแผ่นนั้นเหมือนกัน แล้วก็ดึงออกมาให้ดู คนเหล่านี้บอกว่ากระดาษแผ่นนั้นเปลี่ยนชีวิตเขา เพราะทำให้เขาเห็นคุณค่าของตนเอง

ก่อนหน้านั้นเด็กเหล่านี้ไม่ค่อยเห็นคุณค่าของตนเองเท่าไหร่ พวกเขาคิดว่าเด็กที่เรียนไม่เก่งอย่างเขาจะมีความดีอะไร จึงอยู่แบบไม่มีความหมาย เรียนก็เรียนแบบซังกะตาย เพราะไม่รู้ว่าเรียนจบแล้วจะได้อะไรขึ้นมา แต่เมื่อได้พบว่าตนเองมีความดีมีความสามารถที่เพื่อนๆ ประทับใจก็เกิดกำลังใจในการทำความดี

มีคนจำนวนไม่น้อยเกเรก็เพราะมองไม่เห็นคุณค่าของตนเอง ทัศนคติเช่นนั้นได้กดทับความดีเอาไว้ ความไม่ดีจึงแสดงตัวออกมาได้ง่าย เช่น ขี้เกียจ ไม่เอาใจใส่การเรียน ไม่เคารพครูบาอาจารย์ แต่คำชมของเพื่อนๆ ที่เขียนให้เขาในวันนั้นได้เปิดใจพวกเขาให้เห็นความดีของตน เป็นการเพิ่มพลังให้กับความดีในใจตน จนสามารถเอาชนะความไม่ดี เอาชนะความขี้เกียจ เอาชนะความเกเรได้ จนกระทั่งเป็นเด็กดี กลายเป็นคนที่มีอนาคตได้ อันนี้ต้องเรียกว่าเป็นความสามารถของครูที่ดึงเอาความดีของนักเรียนออกมา จนกระทั่งเกิดความภาคภูมิใจในตนเอง

อันนี้ก็ไม่ต่างจากดอกหญ้าหรือใบไม้แห้งๆ ที่ไม่มีใครสนใจเพราะคิดว่าไม่มีคุณค่า อาจถูกเหยียบย่ำด้วยซ้ำไป แต่ถ้าเราเอามาจัดวางใหม่ก็สวยงามขึ้นมาได้  ที่จริงมันสวยงามมาก่อนแล้ว แต่คนมองไม่เห็น เราเพียงแต่เอามาจัดวางใหม่ให้เหมาะสมกับบริบท ที่ช่วยขับเน้นความสวยงามของเขาให้เห็นดขึ้น เราไม่ได้ทำให้ความสวยงามของเขาเพิ่มขึ้นได้เลย เราเพียงแต่ทำให้ความสวยงามของเขาแสดงตัวออกมาหรือเห็นเด่นชัดขึ้นเท่านั้นเอง

หน้าที่ของครู หน้าที่ของพ่อแม่ ก็คืออันนี้แหละ คือช่วยกันดึงเอาความดีของคนที่เรารักให้ออกมา หรือทำให้ปรากฏตัวโดดเด่นขึ้นมา  บางครั้งความดีที่มีอยู่นั้นถูกกดทับหรือบดบังจนอ่อนแรง ความเห็นแก่ตัวจึงครองใจ แต่ถ้าเราเปิดทางให้ความดีแสดงตัวออกมา เปิดช่องให้ความมีน้ำใจแสดงตัวออกมาก็สามารถเอาชนะความเห็นแก่ตัวได้ ก็กลายเป็นคนที่มีดีขึ้นมา

อย่างไรก็ตามมีแง่คิดอีกอย่างที่ควรกล่าวถึง เมื่อกี้ได้พูดว่าสิ่งที่ดูไร้ค่านั้นแท้จริงมีคุณค่าอยู่ในตัว  มองให้ดีแม้กระทั่งสิ่งที่ดูเหมือนไม่ดีสิ่งที่ดูเหมือนบกพร่อง ก็มีคุณค่าเหมือนกัน อยู่ที่ว่าเรารู้จักใช้หรือเปล่า อย่างความบกพร่อง ความไม่สมบูรณ์ มีตำหนิ สิ่งเหล่านี้ก็มีประโยชน์

มีนิทานเรื่องหนึ่งให้ข้อคิดแง่นี้ไว้ดีมาก เป็นเรื่องของหญิงชราที่ทุกวันจะหามหม้อดินเผาสองใบออกไปตักน้ำ ใบหนึ่งก็เป็นหม้อที่สมบูรณ์ อีกใบหนึ่งเป็นหม้อที่มีรอยร้าว เมื่อตักน้ำแล้วก็จะแบกหมอสองใบนั้นกลับไปที่บ้าน ซึ่งเป็นระยะไกลพอสมควร แต่พอถึงบ้าน หม้อที่ร้าวก็จะเหลือแค่ครึ่งหนึ่ง เนื่องจากน้ำรั่วไหลตลอดทาง แต่ว่าหญิงชราก็ยังคงทำแบบนี้ทุกวี่ทุกวัน เป็นเวลานานนับปี

วันหนึ่งหม้อใบร้าวก็พูดกับหญิงชราว่า รู้สึกว่าแย่มากที่ปล่อยให้น้ำรั่วไหล กว่าจะถึงบ้านยายก็มีน้ำเหลือครึ่งเดียว ไม่เหมือนหม้ออีกใบที่ทำงานได้เต็มที่เก็บน้ำไว้ได้เต็มทุกวัน หม้อใบร้าวนั้นตัดพ้อหญิงชราว่าเอาฉันมาทำงานนี้ทำไม  หญิงชราก็บอกว่า เจ้าไม่สังเกตหรือว่า ตลอดเส้นทางจากลำห้วยจนถึงบ้าน ด้านที่ฉันแบกเจ้าอยู่นั้น มีดอกไม้สวยงามขึ้นมาเป็นแนวเลย ขณะที่ด้านที่ฉันแบกหม้อที่สมบูรณ์นั้นไม่มีดอกไม้ขึ้นเลย  ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะฉันเอาพันธุ์ไม้มาหว่านตรงด้านที่ฉันแบกหามเจ้าเอาเอาไว้  ทุกวันที่ฉันหามเจ้า เจ้าก็ช่วยรดน้ำให้ดอกไม้เหล่านั้นจนชูช่อสวยงาม ดอกไม้ที่เจ้าช่วยรดน้ำ เราก็เก็บมาถวายพระและประดับบ้านเราจนสวยงาม เจ้าไม่สังเกตหรือ

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หม้อใบร้าวก็เกิดความภาคภูมิใจขึ้นมา เพราะได้รู้ว่าตนเองได้ทำสิ่งที่มีคุณค่า หญิงชราเป็นคนฉลาด สามารถเอาหม้อที่ร้าวมาใช้ประโยชน์ได้  เรื่องนี้ชี้ว่าแม้สิ่งที่มีตำหนิ บกพร่อง ไม่สมบูรณ์ ก็มีประโยชน์ถ้ารู้จักใช้

สิ่งที่ดูไร้ค่านั้นแท้จริงมีคุณค่าอยู่ในตัว แม้กระทั่งสิ่งที่ดูเหมือนไม่ดีหรือมีข้อบกพร่อง ก็มีคุณค่าเช่นกัน

ธรรมชาติหรือโลกนี้อยู่ได้เพราะสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ทั้งนั้น  แมลงหรือสัตว์เล็กๆ มีคุณค่ามีความสำคัญต่อชีวิตและโลกนี้ อาจจะมากกว่าสัตว์ที่ผู้คนกำลังเป็นห่วง เช่น ปลาวาฬ ช้าง เสือหรือหมีแพนด้า พวกนี้อยู่ชั้นยอดของปิรามิด ถึงแม้จะมีความสำคัญแต่ถ้าหายไปก็ไม่ส่งผลกระเทือนต่อระบบนิเวศมาก แต่ถ้าพวกแมลง สัตว์เล็กๆ เช่น  ผึ้ง แมงมุม มด หรือแม้แต่แบคทีเรีย สูญพันธุ์ไปจากโลกนี้ จะเกิดความวุ่นวายกันทั้งโลกเลย ตอนนี้หลายประเทศกำลังเดือดร้อน เพราะผึ้งไม่รู้หายไปไหน ตายไปเยอะมาก ชาวสวนชาวไร่เลยพากันเดือดร้อน เพราะต้องอาศัยผึ้งในการผสมเกสร หลายแห่งต้องผสมเกสรเองเพราะผึ้งหายไป

ธรรมชาติที่อยู่กันได้อย่างราบรื่นกลมกลืนก็เพราะสิ่งเล็กๆ น้อยๆ หลายคนไม่ทราบว่าออกซิเจนที่เลี้ยงสิ่งมีชีวิตทั้งโลกและมนุษย์เจ็ดพันล้านคนนั้น ส่วนใหญ่มาจากแพลงตอน ซึ่งเป็นจุลชีพในมหาสมุทรทั่วโลก  แพลงตอนมี ๒ ประเภท คือ ที่เป็นสัตว์และพืช ถ้าเป็นพืชเรียกว่าไฟโตแพลงตอน อยู่ตามมหาสมุทร นอกจากเป็นอาหารของปลาวาฬแล้ว ยังเป็นตัวการผลิตออกซิเจนเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แม้ว่ามันจะตัวเล็กมาก แต่ว่ามีความสำคัญต่อชีวิตของสัตว์และคนทั้งโลก หากแพลงตอนสูญพันธุ์ไป ก็เดือดร้อนทั้งโลก

สิ่งเล็กๆ ไม่ใช่ว่าไร้ค่า  และสิ่งที่ดูเหมือนไร้ค่า ที่จริงแล้วมีความสำคัญมาก ขอให้เราคำนึงถึงความข้อนี้  อย่าดูถูกสิ่งเล็กน้อย และอย่าดูถูกตัวเองว่าไม่มีคุณค่า ไร้ความสำคัญ  เราแต่ละคนมีความสำคัญและความสามารถทั้งนั้น อยู่ที่ว่าสำคัญเรื่องไหน สามารถเรื่องอะไร  ในทำนองเดียวกันคนอื่นก็สำคัญเช่นกัน อย่าดูถูกว่าเขาต่ำต้อยไร้ค่า  หากคิดเช่นนั้นเราอาจเสียใจในภายหลังก็ได้


ภาพประกอบ

พระไพศาล วิสาโล

ผู้เขียน: พระไพศาล วิสาโล

เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต และประธานมูลนิธิเครือข่ายพุทธิกา