ในเส้นทาง: พลังศักดิ์สิทธิ์

ชัยยศ จิรพฤกษ์ภิญโญ 15 เมษายน 2012

ความทุกข์ในชีวิตประการหนึ่ง คือ ภาวะความงุนงงสับสนกับชีวิตยามเมื่อประสบกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด  ความงุนงงสับสนทำให้เราต้องดิ้นรน หาทางออก และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเส้นทางว่า เราจะทำอย่างไรดี  ผู้เขียนมีโอกาสได้รับฟังเรื่องราวชีวิตของอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านเล่าให้ฟังถึงประสบการณ์การสูญเสียสามีในยามที่ช่วงอายุยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว  สิ่งที่ท่านเสียใจคือ ท่านตั้งใจจะบอกกล่าวเรื่องราวสำคัญ คือความรู้สึกขอบคุณและชื่นชมสามีของท่านในสิ่งที่ได้ทำมา แต่ก็ผัดผ่อนมาตลอด  กระทั่งวันหนึ่งสามีของท่านนอนหลับและไม่ตื่นอีกเลย  จากนั้น ๓ เดือนต่อมา คุณแม่ของท่านก็จากไปด้วยโรคชรา  หนึ่งปีถัดมาลูกสาวของท่านก็เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ

เหตุการณ์การสูญเสียเช่นนี้ ทำให้ท่านสนใจศึกษาเรียนรู้และทำงานด้านจิตวิทยาการให้คำปรึกษา  ทุกวันนี้ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการให้คำปรึกษา เป็นวิทยากร และอาจารย์ผู้สอนที่สร้างอิทธิพลและการเปลี่ยนแปลงอย่างมากกับลูกศิษย์  สิ่งที่สำคัญและน่าสนใจคือ การเปลี่ยนแปลงนี้ยังได้ส่งผลกระทบถึงแวดวงการให้คำปรึกษาในเมืองไทย จากการที่ท่านได้มีโอกาสเชื่อมโยงกับทางเมืองไทยภายใต้การสนับสนุนของกลุ่มอาจารย์และสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง ก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญกับแวดวงผู้ที่ทำงานด้านการให้คำปรึกษาและการเยียวยาผู้ประสบความทุกข์ทางจิตใจ  ผู้เขียนเองก็มีความตั้งใจและเหตุบังเอิญให้ได้มีโอกาสเรียนรู้ และพบการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้

และไม่ว่าเราจะนิยามความหมายของเหตุบังเอิญอย่างไรก็ตาม แต่ละเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตต่างล้วนมีที่มาและความเป็นไป  ด้วยพลังอำนาจใดๆ ก็ตามที่อาจเกินความคาดคิด จินตนาการ ก็ทำให้เกิดความประจวบเหมาะสม ที่สอดคล้องและสอดประสานให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนั้นตามมา  ในแง่มิติเศรษฐศาสตร์ ตัวอย่างพลังศักดิ์สิทธิ์ในระบบทุนนิยมเสรี คือ “มือที่มองไม่เห็น” ในฐานะพลังและกลไกที่จับต้องไม่ได้ พลังนี้ช่วยทำหน้าที่จัดสรรทรัพยากรในสังคม

เส้นทางชีวิตของเราทุกคนต่างล้วนมีพลังที่มองไม่เห็นซึ่งนำพาสิ่งต่างๆ เข้ามาและจากไป ก่อเกิดผลกระทบต่างๆ นานา  บริบทของสังคมพุทธ มุมมองต่อเรื่องนี้คือ “ทุกสิ่ง ย่อมเป็นไปตามกรรม” คำพูดและคำปลอบใจที่พวกเรามักได้ยินและคุ้นเคยคือ “แล้วแต่กรรม”  พลังความเชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษก็ทำให้ก่อเกิดทัศนคติกับสิ่งที่อธิบายไม่ได้ เช่น “ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน” “คนดีผีคุ้ม” “ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้”  ดังนั้นชีวิตที่ดำรงอยู่จึงไม่ใช่สิ่งดำรงอยู่โดดเดี่ยว หรือเกี่ยวข้องเฉพาะกับสิ่งรอบตัว คนรอบข้าง เศรษฐกิจ สังคม ฯลฯ  แต่ยังเกี่ยวข้องกับพลังลึกลับ พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่สามารถนิยามอธิบาย แต่เราอาจเชี่ยมโยงได้  ขึ้นกับการเปิดรับ การเตรียมพร้อมของตัวเรา แน่นอนสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับความเชื่อ ความศรัทธา

ความตระหนักรู้ สติสัมปชัญญะ หรือความรู้ตัวทั่วพร้อม คือคุณภาพและคุณสมบัติภายในที่เราทุกคนต่างมี และเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ เป็นพลังชีวิตที่เราทุกคนในฐานะเจ้าของชีวิตต้องสร้างและฟูมฟักให้กับตนเอง ไม่สามารถว่าจ้างหรือร้องขอให้คนอื่นมาทำแทนหรือสร้างสิ่งนี้แทนเจ้าของชีวิตเองได้  ความลึกลับของพลังชีวิตนี้ เราไม่สามารถเข้าถึงหรือสัมผัสผ่านการคิดนึก จินตนาการ  แต่เราสัมผัสได้ก็ต่อเมื่อเราได้อยู่กับพลังนี้แล้ว  ดังเช่นตัวอย่างในกระบวนการทางจิตวิทยา คำถามที่มักได้ยินบ่อยๆ คือ “ขณะนี้ คุณรู้สึกอย่างไร” ซึ่งไม่ว่าคำตอบที่บอกเล่าความรู้สึกจะเป็นอย่างไร สิ่งสำคัญที่มากกว่าคำตอบ คือ ภาวะความรู้ตัวต่ออารมณ์ที่เกิดขึ้น การมองเห็นปฏิกิริยาทางอารมณ์ ความรู้สึกที่ก่อเกิดขึ้น  และทันทีที่ภาวะความตระหนักรู้ทำงาน สิ่งที่เกิดตามมาคือ การอยู่เหนือ การเท่าทันความรู้สึก อารมณ์นั้นๆ  ความทุกข์ของหลายๆ คนที่ชีวิตย่ำแย่และเส้นทางชีวิตบิดเบือน คือ ภาวะการตกเป็น “ทาสอารมณ์”

ในอีกทาง ความทุกข์ในชีวิตที่หลอกหลอนและสร้างความรุนแรงให้กับชีวิต คือ การตกเป็นทาสความคิด ความเชื่อ  มองไม่เห็นโทษภัยของความคิด ความเชื่อที่ยึดถืออยู่  ไม่ตระหนักรู้ตัวกับภาวะการยึดถือ เกาะกุมความคิด ความเชื่อนั้นๆ หรืออาจรู้ตัวถึงภาวะการยึดกุมความคิด ความเชื่อนั้น แต่ไม่มีกำลังทางจิตใจมากพอที่จะสละหรือปล่อยวางอาการการยึดกุมเช่นนั้นได้  ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ การถูกความคิด ความเชื่อนั้นลากจูงไป  ชีวิตขาดอิสรภาพ ขาดทางเลือก

เส้นทางชีวิตของเราทุกคนต่างล้วนมีพลังที่มองไม่เห็นซึ่งนำพาสิ่งต่างๆ เข้ามาและจากไป ก่อเกิดผลกระทบต่างๆ นานา

ความตระหนักรู้ การมีสติสัมปชัญญะ จึงเป็นคุณภาพชีวิตและพลังศักดิ์สิทธิ์ภายในที่มีอยู่ในตัวเราทุกคน  เป็นเสมือนขุมทรัพย์ภายในตัวเรา ทำหน้าที่เสมือนเข็มทิศบอกทิศทางชีวิต ช่วยนำพาและคลี่คลายความสับสน งุนงง จากความไม่รู้ ความโง่เขลาบางอย่างออกไป  และที่สำคัญ พลังศักดิ์สิทธิ์ภายในสามารถก่อเกิดการเชี่ยมโยงกับพลังศักดิ์สิทธิ์ภายนอกได้ด้วย  ดังเช่นเรื่องราวของอาจารย์ที่กล่าวมา ความตระหนักรู้ตัวถึงความปรารถนาที่จะเลือกอาชีพการงาน ประสานกับช่องทางโอกาสที่เข้ามา ท่านเลือกที่จะศึกษาเรียนรู้กับครูอาจารย์ของท่าน เลือกเรียนในองค์ความรู้และทำงานในแบบที่ท่านต้องการ มากกว่าการตัดสินใจใดๆ โดยขาดความตระหนักรู้ ขาดความเข้าใจ ขาดสติสัมปชัญญะ

โจทย์สำคัญคือ เราเรียนรู้ ใส่ใจ และบำรุงรักษาเพื่อดึงประโยชน์จากพลังศักดิ์สิทธิ์ ขุมทรัพย์ในตัวเรานี้มากน้อยเพียงใด  สิ่งสำคัญที่เน้นย้ำคือ ขุมทรัพย์นี้เมื่อเราถือครอง ประโยชน์และอานิสงส์ที่ก่อเกิดและขยายตัว ยังสามารถแผ่ขยายเผื่อแผ่ประโยชน์ไปให้กับคนรอบข้าง บุคคลที่เข้ามาสัมพันธ์ได้ด้วยพลังศักดิ์สิทธ์เช่นนี้  จะเป็นพลังที่อยู่ภายนอกหรือภายในก็ตาม แต่พลังนี้ก็แผ่ขยายและรอการเชื่อมโยงเข้าถึงขุมทรัพย์นี้

สิ่งสำคัญคือ ความตระหนักรู้เป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่ในตัวเรา  เราสามารถฟูมฟัก สร้างความงอกเงยให้พลังนี้มีอยู่ในตัวเราเสมอๆ ให้พลังนี้ช่วยนำทางชีวิต  ช่วงชีวิตที่เป็นอยู่และเป็นไป ก็ไม่ใช่สิ่งน่ากลัวเลวร้ายนัก เมื่อเราประสบทุกข์ภัยแสนสาหัสและไม่หลงลืมตัวไปกับความสุขที่เข้ามาเยี่ยมเยียนและล่อลวง  เพราะเมื่อเรามีความตระหนักรู้ การมีสติสัมปชัญญะ ก็เท่ากับการมีเครื่องช่วยกำกับ คุ้มครอง และช่วยนำทางชีวิตแล้ว


ภาพประกอบ

ชัยยศ จิรพฤกษ์ภิญโญ

ผู้เขียน: ชัยยศ จิรพฤกษ์ภิญโญ

นอกเหนือจากบทบาทนักเขียนประจำคอลัมน์ งานสำคัญ คือ กระบวนกร นักจิตปรึกษา, enneagram coach สนใจและรักที่จะทำงานด้านการทำงานเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงกับโลกภายในผ่านทักษะ ประสบการณ์เรียนรู้ทั้งงานอบรม การทำจิตปรึกษา และงานเขียน