ไม้ขีดไฟในมือคุณ

พระไพศาล วิสาโล 18 พฤษภาคม 2008

วันนี้ความโกรธเกลียดกำลังอบอวลแผ่ซ่านไปทั่ว พร้อมจะปะทุเป็นผรุสวาททันทีที่มีการพูดคุยถกเถียงเรื่องการเมือง เพียงแค่ได้ฟังข่าวสารบ้านเมืองอารมณ์ก็ขุ่นมัว  หลายเดือนมานี้หลายคนพบว่าตนตื่นขึ้นมาทุกเช้าพร้อมกับความโกรธ ครุ่นคิดถึงฝ่ายตรงข้ามเมื่อใดก็อยากเห็นมันพินาศวายวอดเมื่อนั้น  คราใดที่คนเหล่านี้มาเผชิญหน้ากัน บรรยากาศก็พลันเขม็งเกลียว

เมืองไทยวันนี้กำลังร้อนระอุและปริร้าวเพราะการแบ่งฝ่ายแยกขั้วกันอย่างชัดเจน  ต่างฝ่ายต่างกล่าวหากันอย่างรุนแรง ถึงขั้นด่าว่ากันด้วยถ้อยคำหยาบคาย  ในยามที่บ้านเมืองปกติ การกระทำดังกล่าวมักจำกัดวงอยู่ในกลุ่มคนเล็กๆ ที่อยู่ชายขอบของสังคม  ใครที่ทำเช่นนั้นมักเป็นที่รังเกียจ และไม่มีผู้ใดอยากคบค้าสมาคมด้วย  แต่ปัจจุบันวิธีการเช่นนี้กลับได้รับความนิยม แต่ละฝ่ายต่างสรรหาถ้อยคำรุนแรงมาว่ากล่าวกัน ราวประชันขันแข่งกันว่าใครจะแรงกว่ากัน  เพราะต่างฝ่ายต่างเข้าใจว่ายิ่งพูดแรงเท่าไร ก็ยิ่งได้ผล  เพราะนอกจากสะใจผู้พูดและเรียกเสียงเชียร์จากผู้สนับสนุนแล้ว ยังเป็นการลดความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงข้าม  ที่สำคัญยังเป็นการปรามผู้ที่อยู่กลางๆ ไม่ให้วิพากษ์พวกตนเพราะกลัวถูกกล่าวหาด้วยถ้อยคำรุนแรง  ผลก็คือมีแต่เสียงด่าของสองฝ่ายเท่านั้นที่ดังระงมตามสื่อต่างๆ ส่วนคนอื่นซึ่งไม่เห็นด้วยกับทั้งสองฝ่ายกลับแผ่วเสียงลงไปทุกที  ขณะที่จำนวนไม่น้อยตัดสินใจเลือกข้าง เพราะเห็นอีกฝ่ายเลวร้ายตามข้อกล่าวหา หรือไม่ก็เพราะกลัวว่าจะถูกตีตราแขวนป้ายเหมือนคนอื่นๆ

การกระตุ้นเร้าให้เกิดความรู้สึกโกรธเกลียดอีกฝ่าย เป็นวิธีการที่ทุกฝ่ายนำมาใช้อย่างเต็มที่ ด้วยการสร้างภาพอีกฝ่ายว่าเลวร้ายอย่างมิอาจให้อภัยได้  และเป็นที่มาแห่งความเลวร้ายทั้งปวงที่กำลังเกิดขึ้น (และจะเกิดขึ้น) กับประเทศชาติ  อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาให้ดีจะพบว่า สิ่งที่ทุกฝ่ายพยายามปลุกเร้ามิใช่ความโกรธและความเกลียดเท่านั้น  ลึกลงไปกว่านั้นคือความกลัว

ความกลัวเป็นสัญชาตญาณพื้นฐานที่จำเป็นต่อความอยู่รอดของมนุษย์  แต่ในเวลาเดียวกันก็เป็นพลังที่มักถูกใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของกลุ่มต่างๆ อยู่เสมอ  นักการเมืองที่กระตุ้นให้ผู้คนตื่นกลัว (เช่นปลุกผีคอมมิวนิสต์ หรือขู่ว่าจะมีการก่อการร้าย) จึงมักได้รับคะแนนเสียงท่วมท้น  เมื่อใดที่ประชาชนถูกปลุกเร้าให้เกิดความกลัว ก็พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อหนีห่างจากภัยคุกคาม (เช่น สละสิทธิเสรีภาพบางอย่าง) และหากจวนตัวก็พร้อมจะสู้ยิบตาเพื่อกำจัดภัยนั้นให้สิ้นซาก  ความกลัวนั้นสามารถแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธเกลียดและก้าวร้าวรุนแรงได้อย่างนึกไม่ถึง  ดังชาวเยอรมันที่กลัวและเกลียดชาวยิวถึงขั้นล้างเผ่าพันธุ์ หรือประชาชนที่กลัวคอมมิวนิสต์ครองเมืองจนถึงกับลงมือสังหารนักศึกษาประชาชนที่ธรรมศาสตร์และสนามหลวง

ความกลัวนั้นกระตุ้นให้ร่างกายทำงานและมีปฏิกิริยาออกไปทันทีโดยไม่ต้องคิด  วิธีนี้ช่วยให้เราเอาตัวรอดได้อย่างฉับพลันหากเจอสัตว์ร้ายหรือรถยนต์พุ่งชน  แต่เมื่อมาอยู่ในสถานการณ์การเมืองที่แบ่งฝ่ายแยกขั้ว ความกลัวกลับทำให้ผู้คนตื่นตระหนกและไร้เหตุผลหรือขาดวิจารณญาณ ดังนั้นจึงเชื่อคำกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามอย่างง่ายดาย  อคติอันเนื่องจากความกลัว หรือภยาคตินั้น สามารถปรุงแต่งให้เราเห็นเชือกเป็นงู เห็นหมูเป็นช้าง และเห็นกวางเป็นเสือไปได้ไม่ยาก  ด้วยเหตุนี้ความผิดพลาดอย่างไม่ตั้งใจของฝ่ายตรงข้ามแม้เพียงเล็กน้อยสามารถกลายเป็นเรื่องใหญ่โตได้ทันที เมื่อผู้คนเกิดภยาคติขึ้นมา (ในขณะที่พวกเดียวกันแม้ผิดพลาดแค่ไหนก็ยอมรับได้เพราะอำนาจของฉันทาคติหรืออคติเพราะชอบ)

เมืองไทยกำลังเต็มไปด้วยความกลัว  เราไม่ได้กลัวว่าเศรษฐกิจจะวิกฤตเท่านั้น แต่ยังถูกปลุกให้กลัวว่าสถาบันกษัตริย์กำลังถูกคุกคาม พุทธศาสนากำลังถูกกลืน ราชาธิปไตยกำลังกลับมา ทุนสามานย์กำลังทำให้สิ้นชาติ  ควบคู่กับการปลุกเร้าภยาคติ ก็คือการตีตราแขวนป้ายให้แก่คนที่เห็นต่างจากคน หรืออยู่คนละกลุ่มว่า เป็นพวกไม่จงรักภักดีต่อสถาบัน  หรือเป็นพวกเผด็จการสนับสนุนรัฐประหาร ฯลฯ  ต่างฝ่ายต่างผลิตวาทกรรมและสรรหาหลักฐานต่างๆ เพื่อโจมตีใส่ร้ายซึ่งกันและกัน  ทั้งหมดนี้ไม่เพียงปลุกเร้าความกลัวให้เกิดขึ้นกับผู้คนเท่านั้น  มองให้ลึกลงไปพฤติกรรมดังกล่าวยังสะท้อนถึงความกลัวที่อยู่เบื้องหลังแกนนำของแต่ละกลุ่ม  ใช่หรือไม่ว่าเขาเหล่านั้นพยายามทุกวิถีทางเพื่อโค่นล้มอีกฝ่าย เพราะกลัวว่าหากฝ่ายตรงข้าม “ชนะ” พวกตนก็จะต้องเดือดร้อน ถูกดำเนินคดี ริบทรัพย์ ติดคุก หรือสูญเสียผลประโยชน์จำนวนมหาศาล

ถึงที่สุดแล้วยิ่งปลุกเร้าให้ประชาชนตื่นกลัว  ความกลัวก็กลับเพิ่มพูนขึ้นในใจของผู้ที่ปลุกเร้า  ไม่ใช่เพียงเพราะว่ายิ่งสร้างภาพอีกฝ่ายให้เลวร้ายเท่าไร ตนเองก็ยิ่งเชื่อภาพที่สร้างขึ้นมากเท่านั้น  หากยังเป็นเพราะว่าการกระทำเช่นนั้นทำให้อีกฝ่ายตอบโต้ด้วยวิธีที่รุนแรงและโกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าเดิม รวมทั้งเล่นงานตรงจุดอ่อนหนักมือขึ้น  พูดอีกอย่างคือยิ่งวาดภาพให้เขาเลวร้ายมากเท่าไร เขาก็ยิ่งเลวร้ายอย่างที่วาดภาพเอาไว้มากเท่านั้น

ความกลัวเป็นสัญชาตญาณพื้นฐานที่จำเป็นของมนุษย์ แต่ในเวลาเดียวกันก็มักถูกใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของกลุ่มต่างๆ อยู่เสมอ

เมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้น ต่างฝ่ายต่างเป็นผลผลิตของกันและกัน  ยิ่งกล่าวหาเขา ก็ยิ่งผลักให้เขาเป็นศัตรูและมีจุดยืนที่สุดโต่งมากขึ้น  เมื่อสามีถูกภรรยาด่าว่าอย่างรุนแรงเพราะไปมีเมียน้อย เขาย่อมปกป้องตนเอง ทีแรกก็อาจกล่าวโทษว่าภรรยาเป็นเหตุ (เช่น เอาแต่ทำงาน ไม่สนใจดูแลสามี)  แต่หากภรรยาต่อว่าไม่หยุด สามีก็จะเริ่มกล่าวหาภรรยาว่า ไม่ได้ดีไปกว่าเขาเท่าไร  ทีนี้ก็จะขุดคุ้ยความไม่ดีของภรรยาออกมา  ครั้นภรรยาตอบโต้ด้วยถ้อยคำรุนแรง สามีไม่เพียงแต่จะหาเหตุผลมาสนับสนุนการนอกใจของตนเท่านั้น  แต่อาจตะแบงไปถึงขั้นยืนกรานหน้าตาเฉยว่า “มีเมียน้อยผิดตรงไหน?”  ถึงตรงนี้ต่างฝ่ายต่างอยู่ไกลเกินกว่าจะคุยกันให้รู้เรื่องได้  ไม่มีใครฟังเหตุผลกันแล้ว มุ่งมั่นแต่จะเอาชนะอย่างเดียว  ทั้งนี้เพราะสามัญสำนึกไม่ทำงานแล้ว

ใช่หรือไม่ว่าในความขัดแย้งทางการเมืองที่กำลังร้อนแรงอยู่นี้  สามัญสำนึกกำลังเหลือน้อยลง เพราะความกลัว โกรธ เกลียด กำลังครองใจ  ผู้คนไม่เพียงเชื่อคำใส่ร้ายป้ายสีของแต่ละฝ่ายอย่างง่ายดาย โดยไม่คำนึงถึงเหตุผลหรือสนใจภูมิหลังของเขาอีกต่อไป  หากยังไม่สนใจด้วยว่าการเผชิญหน้ากันด้วยความโกรธเกลียดและหวาดกลัวนั้นจะนำไปสู่อะไร  ต่างฝ่ายต่างปรารถนาที่จะหาญหักใส่กัน ด้วยความเชื่อว่าความรุนแรงเท่านั้นเป็นคำตอบ  ไม่มีใครสนใจว่าหากฟาดฟันกันให้ยับเยินไปข้างหนึ่งแล้ว บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร  ขอเพียงแต่ฉันได้รับชัยชนะก็พอแล้ว

ปัญหาอันสลับซับซ้อนของประเทศเวลานี้ถูกลดทอนให้กลายเป็นเรื่องตัวบุคคล  ทางออกของบ้านเมืองจึงเหลือเพียงว่า จะเอาหรือไม่เอาทักษิณ (กับพวก)  ต่างฝ่ายพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้เป้าประสงค์ของตนบรรลุผล โดยไม่คำนึงว่าจะเกิดผลเสียอย่างไรต่อบ้านเมือง  พูดเช่นนี้มิได้หมายความว่าทั้งสองฝ่ายไม่คำนึงถึงส่วนรวม  ความจริงแล้วแต่ละฝ่ายล้วนเห็นแก่บ้านเมือง แต่เมื่อเข้าไปในวังวนแห่งความขัดแย้ง มีการกระทบกระทั่งกันรุนแรงขึ้น  ความโกรธเกลียดและความกลัวที่ผุดขึ้นมาก็เปิดช่องให้อัตตาขึ้นมาเป็นใหญ่เหนือจิตใจ  ยิ่งเผชิญหน้ากัน ก็ยิ่งดึงเอาด้านมืดของแต่ละฝ่ายออกมา สำนึกต่อส่วนรวมเลือนหายไป  สิ่งที่มาแทนที่คือความหวงแหนในผลประโยชน์ (ตัณหา) ความสำคัญตนว่าเหนือกว่า (มานะ) และความใจแคบเพราะยึดติดถือมั่นในความคิดของตน (ทิฏฐิ)  ทั้งหมดนี้ทำให้ความขัดแย้งกันกลายเป็นเรื่องแพ้-ชนะส่วนบุคคล เพื่อ “ตัวกู ของกู” ยิ่งกว่าเพื่อบ้านเมือง

ความขัดแย้งไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ตราบใดที่ไม่ลุกลามไปเป็นการเผชิญหน้าด้วยความมุ่งร้ายต่อกัน  หากถึงจุดนั้นเมื่อไร ก็ไม่ยากที่จะเกิดความรุนแรงจนถึงขั้นเลือดตกยางออกและผลักบ้านเมืองสู่วิกฤต  สิ่งหนึ่งที่ทุกคนทำได้ก็คือไม่ช่วยโหมกระพือให้ความขัดแย้งขยายตัวไปถึงจุดนั้น  จะทำเช่นนั้นได้ต้องตั้งสติให้มั่น รับฟังอย่างมีวิจารณญาณ ไม่หลงเชื่ออะไรง่ายๆ เพียงเพราะพูดถูกใจหรือเพราะผู้พูดเป็นพวกเดียวกับตน  รู้เท่าทันความโกรธ เกลียด และกลัวที่เกิดขึ้นเมื่อรับฟังข่าวสารบ้านเมืองหรือได้ยินคำกล่าวหาของแต่ละฝ่าย  ขณะเดียวกันก็เปิดใจให้กว้าง ยึดถือ “ความถูกต้อง” ยิ่งกว่า “ความถูกใจ”

ในยามที่บ้านเมืองกำลังถลำสู่วังวนแห่งความคลั่งไคล้ไร้สติ  การดำรงสติให้มั่นเป็นภารกิจที่สำคัญยิ่งของเรา  สติของเราแต่ละคนสามารถแผ่ขยายไปยังคนรอบตัว และเรียกสติของเขาให้กลับคืนมาจนรวมกันเป็น “สติมหาชน” ได้  ในยามที่สามัญสำนึกกำลังเลือนหายไปจากสังคม หน้าที่ของเราคือเรียกสามัญสำนึกให้กลับคืนมา ให้ผู้คนตระหนักว่าความรุนแรงนั้นนำความพ่ายแพ้มาสู่ทุกฝ่าย  และถึงจะมีใครได้ชัยชนะก็เป็นชัยชนะชั่วครู่ชั่วยาม และไม่คุ้มค่ากับความย่อยยับของบ้านเมืองตลอดจนชีวิตที่ต้องสูญสิ้นไป  มีใครบ้างที่อยากเห็นลูกหลานของตนเติบโตในสภาพเช่นนี้

เรายังสามารถเรียกสติและสามัญสำนึกของผู้คนให้กลับคืนมา ด้วยการเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติการสาดโคลนหรือใส่ร้ายป้ายสีกัน ใช้เหตุผลยิ่งกว่าอารมณ์ ยึดมั่นในสันติวิธีและกติกาของผู้เจริญ  หากจะโต้เถียงหรือทะเลาะกัน ก็ให้กระทำอย่างอารยชน  จริงอยู่ผู้นำของแต่ละฝ่ายอาจไม่ฟังเสียงทักท้วงดังกล่าว  ในกรณีเช่นนั้นก็สมควรที่เราจะไม่ฟังและไม่ใส่ใจกับคำพูดของคนเหล่านั้นตราบใดที่ยังมุ่งกระตุ้นเร้าความโกรธ เกลียด และกลัว อย่างไร้เหตุผล

ความขัดแย้งไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ตราบใดที่ไม่ลุกลามเป็นการเผชิญหน้าด้วยความมุ่งร้ายต่อกัน

อย่างไรก็ตาม นอกจากวิธีการเฉยเมยและไม่รวมกระโจนเข้าไปในความขัดแย้งที่มีลักษณะเผชิญหน้ากันแล้ว  เราควรเสนอทางออกเพื่อเป็นทางเลือกที่สามในประเด็นที่มีความขัดแย้งระหว่างทางสุดโต่งสองทาง  ทางเลือกที่สามมีความสำคัญเพราะจะเป็นช่องทางสำหรับผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับทางสุดโต่งทั้งสอง ซึ่งเชื่อว่าน่าจะมีอยู่ไม่น้อย  อีกทั้งเป็นการส่งสัญญาณไปยังทุกฝ่ายในสังคมว่าแท้ที่จริงแล้วทางสุดโต่งทั้งสองนั้นเป็นที่นิยมจริงหรือไม่  ในปัจจุบันประเด็นที่มีความขัดแย้งอย่างมากคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ  ทุกวันนี้ผู้คนดูเหมือนจะมีทางเลือกแค่สองทางคือ  ๑) ไม่แก้ไขเลยแม้แต่มาตราเดียว กับ ๒) แก้ไขด้วยวิธีรวบรัดโดยอาศัยเสียงข้างมากในสภา  ทั้งสองวิธีมีแต่นำไปสู่การเผชิญหน้ากัน  แท้จริงแล้วยังมีทางเลือกที่สามซึ่งสามารถหลีกเลี่ยงความรุนแรงได้  ประเด็นอยู่ที่ว่าจะมีใครเสนอได้อย่างมีน้ำหนักหรือไม่ และสื่อสารถึงผู้คนได้กว้างขวางเพียงใด

วันนี้ความโกรธเกลียดและกลัวกำลังอบอวลแผ่ซ่านไปทั่ว พร้อมจะระเบิดเป็นความรุนแรงได้ทุกเมื่อ  ไม่ต่างจากบรรยากาศที่อบอวลด้วยไอน้ำมัน ขอเพียงแต่มีผู้จุดไฟพร้อมกันหลายๆ คน  บัดนี้ไม้ขีดไฟอยู่ในมือทุกคนแล้ว อยู่ที่ว่าจะมีใครจุดหรือไม่  บ้านเมืองจะผ่านพ้นวิกฤตหรือไม่เป็นความรับผิดชอบของทุกคน มิใช่เป็นของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น  ถ้าคุณอยากให้บ้านเมืองมีความสงบสุขและจัดการความขัดแย้งได้อย่างสันติ  อย่างแรกที่ต้องทำคือโยนไม้ขีดไฟทิ้ง หรือไม่ก็ดับประกายไฟเสีย  ประกายไฟนั้นมิได้อยู่ที่ไหน หากอยู่ในใจคุณนั่นเอง


ภาพประกอบ

พระไพศาล วิสาโล

ผู้เขียน: พระไพศาล วิสาโล

เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต และประธานมูลนิธิเครือข่ายพุทธิกา