ธรรมะข้างเตียง
เทศนาธรรมของพระไพศาล วิสาโล มอบต่อคุณแม่ถ่องสี แซ่ลุ่ย
ณ ห้อง ๒๐๘ ตึกอายุรกรรม โรงพยาบาลราชวิถี วันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๔
โยมแม่ อาตมาพระเตี้ยมาเยี่ยมนะ จำได้หรือเปล่า เป็นเพื่อนสง่า ตอนอาตมายังไม่บวชเคยมาเยี่ยมที่บ้านอยู่บ่อย ๆ ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย ทำงานแล้วก็ยังมาเที่ยวที่บ้านหลายครั้ง โยมแม่คงจำได้ เพราะว่าพอบวชแล้วก็ยังได้เจอโยมแม่ที่วัดทองนพคุณ งานทำบุญวันที่สง่ากับสมถวิลแต่งงานกัน หลังจากนั้นก็ไม่ได้เจอโยมแม่อีกเลย แต่ก็ฟังข่าวคราวจากสง่าอยู่เสมอ
ตอนนี้โยมแม่อายุ ๙๖ แล้ว ถือว่ามีอายุยืนมาก โยมแม่ได้มีโอกาสเห็นความสำเร็จที่ตัวเองได้เพียรพยายามเลี้ยงดูลูกมาด้วยความอดทน ด้วยความเสียสละ ด้วยความรัก แม้ว่าจะลำบากอย่างไรก็ไม่ยอมแพ้ อดทน ทำทุกอย่างเพื่อลูก ไม่ใช่แค่แรงกายเท่านั้น แรงใจก็ได้ทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อให้ลูกได้เรียนโรงเรียนดีๆ มีวิชาความรู้ และมีที่พึ่งทางจิตใจ จนกระทั่งลูกโตมีอาชีพการงานที่ดี มีครอบครัว มีฐานะการเงินที่มั่นคง แล้วยังมีหลานให้โยมแม่ได้ชื่นชม หลายคนไม่มีโอกาสที่จะได้เห็นความสำเร็จที่ตัวเองได้อดทนเสียสละ แต่ว่าโยมแม่ได้เห็น เพราะว่ามีอายุยืนมาจนทุกวันนี้
ถึงแม้ว่าตอนนี้โยมแม่จะเจ็บ ป่วย ไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่ว่าคงรับรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นรอบตัว วันนี้มีลูกมีหลานมาเยี่ยมมากมาย หลานๆ หลายคนเรียนจบแล้ว บางคนก็ทำงานแล้ว มีอาชีพที่มั่นคงมีอนาคต ขอให้โยมแม่รับรู้และชื่นชมสิ่งที่เป็นผลแห่งความเพียรของตัวเองด้วย
อยู่อย่างนี้ไม่รู้สึกอึดอัดก็ได้นะ เพราะถึงแม้ร่างกายจะไม่เป็นไปอย่างที่ใจต้องการ แต่ว่าใจเรายังสามารถที่จะทำอะไรดีๆ ได้ เช่น นึกถึงความสำเร็จของลูกของหลาน ชื่นชมความสำเร็จของเขา รวมทั้งถือว่าตอนนี้เป็นโอกาสให้ลูกหลานได้ดูแลโยมแม่บ้าง โยมแม่เสียสละเพื่อลูกเพื่อหลานมาเยอะแล้ว เสียสละเพื่อคนอื่นมาเยอะแล้ว ตอนนี้ก็ให้คนอื่นเขาได้ดูแลโยมแม่บ้าง อย่าไปคิดว่าเรามาอยู่แบบนี้เป็นภาระของคนอื่นเขา ที่จริงตอนนี้แหละเป็นโอกาสดีที่คนที่โยมแม่รัก โดยเฉพาะลูกๆ ที่เคยได้รับความสุขจากความเสียสละของโยมแม่ จะได้มาดูแลโยมแม่ เป็นการทำความดี เป็นการตอบแทนบุญคุณของโยมแม่ เปิดโอกาสให้เขานะ เปิดโอกาสให้เขาได้ทำบุญกับโยมแม่ เท่าที่สังขารของโยมแม่จะอำนวยให้ อย่าไปรู้สึกรำคาญ อย่าไปรู้สึกหงุดหงิดกับสภาพเช่นนี้ ถือว่าตอนนี้เรากำลังเปิดโอกาสให้ลูกๆ ได้ทำบุญ ให้หลานๆ ได้มาเยี่ยมเยียน และได้รู้จัก ได้สัมผัสกับย่ายายของตัว อันนี้จะเป็นผลดีกับเขาเองด้วย
ตอนนี้ถึงแม้ร่างกายจะไม่เป็นไปอย่างที่โยมแม่ต้องการ ก็ให้ขอให้อดทนหน่อยนะ อาตมาเชื่อว่าโยมแม่ทำได้เพราะโยมแม่เคยต่อสู้กับอุปสรรคต่าง ๆ มามากมาย แล้วก็สามารถผ่านไปได้ในที่สุด โยมแม่เคยเจอสิ่งที่ลำบากหนักหนากว่านี้มาแล้ว ตอนนี้โยมแม่เพียงแต่รอคอยให้ถึงเวลาที่สังขารจะแตกดับ ระหว่างนี้ก็อยู่กับเขาไปก่อน แต่อย่าอยู่ด้วยความรู้สึกฝืนทนนะ ระหว่างที่รอคอยสังขารแตกดับ ก็ทำใจให้เป็นกุศล นึกถึงความดีที่โยมแม่ได้ทำมาตลอดชีวิตด้วยความเสียสละ และชื่นชมยินดีกับความสำเร็จของโยมแม่ที่ทำให้ลูกหลานเติบโตเป็นคนดี มีการงานที่มั่นคง
สังขารร่างกายนี้ โยมแม่อยู่กับเขามานานแล้ว โยมแม่ได้ใช้สังขารร่างกายนี้ในการทำประโยชน์มากมาย ทำประโยชน์ให้กับตัวเอง ทำประโยชน์ให้กับครอบครัว ให้กับลูกหลาน ใช้ร่างกายนี้ในการทำสิ่งดีงามให้คุ้มค่ากับที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ใช้สังขารนี้ทำประโยชน์มากมายจนเรียกว่าคุ้มค่าแล้วล่ะ สมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้
ตอนนี้สังขารร่างกายกำลังจะหมดเรี่ยวหมดแรงแล้วนะ โยมแม่ก็ตอบแทนเขาหน่อย คือดูแลเขา ไม่ใช่ดูแลด้วยยา อันนั้นเป็นเรื่องของหมอของพยาบาล แต่ว่าให้โยมแม่ดูแลด้วยใจ คืออยู่กับเขาไป อย่าไปโกรธ อย่าไปโมโหที่เขาเป็นอย่างนี้ เพราะสังขารร่างกายย่อมเสื่อมไปเป็นธรรมดา เราใช้เขามามากแล้วนะ ใช้เขาหาบน้ำรดผักตั้งแต่สมัยยังสาว ใช้เขาเย็บผ้าและทำมาหากินด้วยความเหนื่อยยาก ใช้เขาในการเลี้ยงดูลูกหลาน ตอนนี้ถึงเวลาที่เขาไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง ปอดเอย หัวใจเอย ตับไตเอย ก็ชรามากแล้วนะ เขาทำงานเต็มที่แล้ว ตอนนี้ก็เป็นหน้าที่ของเราที่จะดูแลเขาด้วยใจ และอยู่กับเขาไปก่อน ไม่ต้องอยู่ด้วยความอดทนนะ ไม่ต้องอยู่ด้วยความฝืนทน อยู่กับเขาจนกว่าจะถึงเวลาที่เขาจะไป
ตอนนี้ขอให้โยมแม่ทำใจเหมือนกับว่า กำลังรอเวลาเลิกงาน ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน เราก็ทำงานไปเรื่อยๆ ทำไปแบบสบายๆ ไม่ได้ทำด้วยหน้าดำคร่ำเคร่ง ถึงเวลาเลิกงานเมื่อไหร่ มีเสียงระฆังดัง “เป๊ง” เราก็วางงาน วางมือ แล้วก็เดินกลับบ้าน แต่ตอนนี้ยังไม่ได้เวลา ก็อยู่กับสังขารร่างกายนี้ไปก่อน อยู่เป็นเพื่อนเขา ไม่ใช่อยู่ด้วยความฝืนทน แต่อยู่เพื่อทำหน้าที่ของเราเป็นครั้งสุดท้าย เพราะว่าร่างกายนี้เขารับใช้เรามาเยอะแล้ว ตอนนี้เราก็ตอบแทนเขาด้วยการอยู่เป็นเพื่อนเขา
อย่ารู้สึกรำคาญนะที่ร่างกายนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน แต่ก่อนเราสั่งให้ทำอะไรเขาก็ทำ เดี๋ยวนี้สั่งไม่ได้แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา แต่ถึงจะไม่ใช่ของเรา เราก็มีส่วนดูแลร่างกายนี้ได้บ้าง เหมือนกับเราสร้างบ้าน เราก็แต่งเติมบ้านตามความต้องการของเรา แต่บ้านนี้ไม่ว่าจะดีแค่ไหน แข็งแรงเพียงใด สักวันหนึ่งก็ต้องเสื่อมต้องผุพังไป เราจะไปสั่งว่าบ้านนี้อย่าพัง อย่าผุ เราสั่งไม่ได้ เราได้แต่ซ่อมแซมหรือสั่งให้คนอื่นมาซ่อมแซม แต่ถ้ามันเสื่อม มันจะพังจริงๆ เราก็หยุดมันไม่ได้นะ เพราะว่าบ้านไม่ใช่ของเรา ถึงเวลาที่บ้านจะผุพังไป เราก็ต้องยอมให้มันผุพัง เพราะว่าเราทำเต็มที่แล้ว ตอนนี้มันยังไม่พังลงมาเราก็อยู่เฝ้าบ้านไปก่อน แต่ถ้าบ้านพังลงมาเมื่อไหร่ก็พร้อมจะออกจากบ้านหลังนี้ไป ไปหาบ้านหลังใหม่ที่ดีกว่า
บ้านหลังใหม่ดีแน่นอน เพราะว่าโยมแม่ได้ทำบุญ สร้างความดี สร้างกุศลมาเยอะ บ้านหลังใหม่นี้ที่รอไว้ ดีแน่นอน เป็นบ้านที่สะดวกสบายกว่าบ้านหลังนี้ แต่ก็อย่าเพิ่งไปสนใจเลยนะ ขอให้มั่นใจและสบายใจว่าบ้านที่รอเราอยู่ข้างหน้านั้นดีแน่ แต่ระหว่างนี้โยมแม่ก็อยู่เป็นเพื่อนบ้านหลังนี้ไปก่อน เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องอยู่กับเขา ถ้าเขายังไม่ไป เราก็ยังไปไม่ได้ แต่เมื่อสังขารร่างกายนี้ถึงเวลาที่จะต้องไป เราก็พร้อมทิ้งบ้านหลังนี้ไป ไม่ต้องอาลัย แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะทิ้งนะ เพราะว่าเขายังทำงานได้อยู่ ก็ให้อยู่ไปด้วยความรู้สึกที่สบายใจ ไม่หงุดหงิด ไม่รำคาญ ไม่โมโห ที่บ้านหลังนี้มันไม่เป็นไปอย่างที่เราคิด
สังขารร่างกายนี้ไม่เป็นไปอย่างที่เราต้องการ ก็อย่าโมโห อยู่กับเขาไปก่อน ถือว่าเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องอยู่กับเขา เพราะว่าเขารับใช้เรามาช้านานแล้ว ๙๖ ปีแล้วนะที่เขาได้อยู่กับโยมแม่ ทุกลมหายใจที่เข้าและออก ได้ช่วยให้โยมแม่ทำหน้าที่การงาน นับตั้งแต่ดูแลพ่อแม่ ดูแลสามี ดูแลลูก ต่อมาก็ช่วยเหลือเพื่อนบ้าน ทำงานการต่างๆ ที่สมควรทำในฐานะที่เป็นเพื่อนมนุษย์ ในฐานะที่เป็นคนไทย ช่วยเหลือสังคม ช่วยเหลือส่วนรวม ก็อาศัยร่างกายนี้แหละเป็นเครื่องไม้เครื่องมือ ตอนนี้เราได้แต่ขอบคุณเขา และอยู่กับเขาไปก่อน อยู่เป็นเพื่อนเขา
อันนี้ไม่ใช่เรื่องยากนะ เพราะว่าโยมแม่เคยทำสิ่งที่ยากกว่านี้มาแล้ว ตั้งแต่เล็กจนสาวจนกระทั่งมีครอบครัว จนกระทั่งแก่ชรา ก็เคยทำสิ่งที่ยากๆ กว่านี้มามากมายแล้ว และทำได้สำเร็จด้วย น่าพอใจ ตอนนี้เหลืองานอยู่ชิ้นเดียว คืออยู่กับสังขารร่างกายนี้ แต่ให้อยู่ด้วยใจที่ปล่อยวางนะ คือใจไม่ทุกข์ไปกับสังขารร่างกายนี้ ร่างกายนี้มันจะเจ็บมันจะปวดมันจะอึดอัด ก็อยู่กับเขาด้วยใจที่ไม่เป็นทุกข์ สั่งอะไรไม่ได้ก็ช่างเขา ไม่เป็นไร ช่างมัน
โยมแม่ได้ปล่อยวางกับหลายเรื่องมาแล้ว เจอคนใกล้ชิดเจอใครต่อใครที่ไม่ถูกใจเรา โยมแม่ก็ให้อภัย ไม่ถือสาหาความ ไม่เอามาเป็นอารมณ์ อันนั้นเป็นเรื่องของคนรอบข้าง เรื่องของสิ่งนอกตัว ตอนนี้ร่างกายก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน คือไม่ค่อยยอมเชื่อฟังเท่าไหร่ บางทีก็เอาความเจ็บความปวดมาให้ ก็อย่าไปโกรธนะ อย่าไปโมโห อย่าไปอึดอัด อย่าไปขัดเคืองใจ ให้อภัยเขา ไม่ถือสาหาความ ทำใจให้สบาย รักษาใจให้เป็นปกติ สังขารร่างกายจะเป็นอย่างไร ก็ปล่อยเขาไป เราก็ได้แต่อยู่กับเขาไปก่อน แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ร่างกายนี้ไม่ไหวแล้ว ได้เวลาที่จะไปแล้ว โยมแม่ก็ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องยึด เมื่อถึงเวลาเขาไป เราก็ไปเหมือนกัน เหมือนกับบ้านที่กำลังจะพังลงมา พังลงมาเมื่อไหร่เราก็ไปแล้ว ไม่ห่วงแหนเอาไว้ ปล่อยมันพังลงมา ส่วนเราก็ไปหาบ้านใหม่ที่รออยู่
ตอนนี้โยมแม่ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้ว เรียกว่าสบายใจได้แล้ว ถ้ามีอะไรจะห่วงก็อย่าไปยึดติดถือมั่นมาก เพราะว่าได้ทำหน้าที่ทุกอย่างมาอย่างเต็มที่แล้ว ตอนนี้ถึงเวลาที่ทำสิ่งที่ควรทำคือชื่นชมในความสำเร็จของเราที่ทำด้วยความเสียสละและปรารถนาดี อาจมีบางอย่างที่เราอยากจะให้ดีกว่านี้ แต่ได้เท่านี้ก็ควรพอใจแล้ว เพราะว่าคนที่จะมีอายุยืนแล้วได้เห็นความสำเร็จของลูก และความสำเร็จของหลาน มีไม่มาก แต่โยมแม่ได้เห็นมาจนครบถ้วนแล้ว จึงน่าจะภูมิใจกับชีวิตที่ผ่านมา ระหว่างที่ยังอยู่กับสังขารร่างกายตอนนี้ อย่าไปมัวอึดอัดขัดเคืองใจกับร่างกายนี้ ให้น้อมใจหันมาชื่นชมความสำเร็จของเรา ที่ได้ทำจนน่าภาคภูมิใจ ขอให้โยมแม่มองไปรอบๆ ลูกหลานตอนนี้เขามองโยมแม่ด้วยความชื่นชม ด้วยความเคารพนับถือ
ไม่ค่อยมีใครได้มีโอกาสอย่างนี้หรอก เพราะว่าไม่มีอายุยืนเหมือนโยมแม่ หรือถึงแม้มีอายุยืนแต่ก็อาจจะทุ่มเทเสียสละไม่เท่าโยมแม่ จนกระทั่งลูกหลานประสบความสำเร็จให้โยมแม่ภาคภูมิใจ เพราะฉะนั้นขณะที่นอนอยู่อย่างนี้อย่าไปคิดว่าเป็นการทนทุกข์ทรมาน ให้ถือว่าแต่ละวันคือวันที่เราจะได้ชื่นชมลูกหลาน ชื่นชมความสำเร็จของเรา ให้แต่ละวันๆ เป็นวันที่เราได้ภาคภูมิใจในชีวิตของเรา ไม่ใช่วันที่จะทุกข์ทรมานแต่อย่างใด ขอให้วางใจแบบนี้ ทุกวันที่ผ่านเข้ามา เป็นวันที่เราจะเก็บเกี่ยวตักตวงความสุขจากการที่ได้เห็นความสำเร็จของลูกของหลาน และภาคภูมิใจในความดีในความเสียสละที่ทำมาตลอดทั้งชีวิต เป็นชีวิตที่คุ้มค่ากับการได้เกิดมาเป็นมนุษย์
อย่าให้วันแต่ละวันเป็นวันแห่งความทุกข์ ขอให้อยู่กับร่างกายนี้ด้วยใจที่สบาย เขาจะทุกข์อย่างไรก็เป็นเรื่องของเขา เราไม่ทุกข์ไปกับเขาด้วย ให้ทุกข์แต่กาย แต่ใจไม่ทุกข์ อยู่กับสังขารร่างกายนี้ด้วยใจที่ปล่อยวาง ไม่โกรธ ไม่โมโห ไม่ขัดเคืองใจ อย่างที่อาตมาบอกไว้นะ ให้อยู่เหมือนกับว่ารอเวลาเลิกงาน ระหว่างที่รอ ก็ทำงานของเราไปเรื่อย ๆ เลิกงานเมื่อไหร่ ก็พร้อมจะไปทันที เหมือนกับที่พระสารีบุตร พระอัครสาวกของพระพุทธเจ้า บอกว่า “ไม่ยินดีต่อความตายและชีวิต รอคอยเวลาตายอยู่ เหมือนลูกจ้างรอให้หมดเวลาทำงานฉะนั้น” ระหว่างที่ยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน ก็ทำหน้าที่ไปเหมือนกับที่โยมแม่กำลังทำตอนนี้ อยู่กับสังขารร่างกายนี้ เป็นเพื่อนกับเขา พอถึงเวลาเลิกงานปุ๊บ วางมือ ไปได้เลย ไม่มีอะไรต้องอาลัย แล้วก็ไม่มีอะไรที่ต้องเสียใจ
เอาล่ะนะ ที่อาตมาพูดมาคงเป็นแง่คิดให้กับโยมแม่ได้ อาตมาขอยุติเท่านี้นะ จากนี้ไปจะสวดมนต์ให้พรขอให้พระธรรมคุ้มครองจิตใจของโยมแม่ เพื่อให้อยู่อย่างมีความสุข อิสระ ปล่อยวาง แม้ว่าสังขารร่างกายนี้จะเป็นทุกข์อย่างไรก็ตาม ขอให้โยมแม่น้อมรับพร