ข้อแนะนำห้าประการ
ไม่นานมานี้ผมได้คิดค้นคำแนะนำ ๕ ประการ เพื่อเป็นคู่มือของผู้ที่กำลังจะตาย คำแนะนำดังกล่าวอาจจะเป็นประโยชน์กับมิติอื่นๆ ของชีวิต สามารถให้แรงบันดาลใจและเป็นแนวทางปฏิบัติได้ด้วย ผมมองว่ามันเป็นการปฏิบัติที่ไร้จุดสิ้นสุด ที่สามารถสำรวจและลงลึกไปได้เรื่อยๆ ทั้ง ๕ ประการนี้ไม่ได้เรียงตามลำดับ และไม่ได้เป็นทฤษฎีหรือแนวคิดใดๆ คำแนะนำเหล่านี้ จะเข้าใจและทำให้เป็นจริงได้ ก็ต่อเมื่อนำมาใช้ในชีวิตและสื่อสารด้วยการกระทำ
ข้อแรก: น้อมรับทุกสิ่ง, ไม่ผลักไสสิ่งใด
การจะน้อมรับทุกสิ่งได้, เราไม่จำเป็นต้องชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น.
ไม่ใช่เรื่องของเราเลยที่จะชอบหรือไม่ชอบ.
หน้าที่ของเรามีแค่ว่าเชื่อมั่น, รับฟัง,
และใส่ใจกับความเปลี่ยนแปลงที่ประสบอยู่ในส่วนลึกที่สุดแล้ว,
เรากำลังถูกเรียกร้องให้พร้อมเปิดใจรับทุกสิ่งโดยไร้ความกลัว
นี้คือ การเดินทางไปสู่การค้นพบอย่างต่อเนื่องที่ทำให้เราเข้าสู่พรมแดนใหม่ๆ อยู่เสมอ
เราไม่รู้เลยว่ามันจะลงเอยอย่างไร
จำต้องใช้ความกล้าหาญและความยืดหยุ่น เราจะพบกับสมดุล
การเดินทางคือปริศนาที่เราจำต้องอยู่กับมันอย่างเปิดกว้าง กล้าเสี่ยง, และให้อภัยโดยไม่หยุดยั้ง
ข้อสอง: เข้าหาประสบการณ์ด้วยทั้งหมดของตัวเรา
ในการเยียวยาผู้อื่นและตัวเรา
เราพร้อมเปิดรับทั้งความเบิกบานและความกลัว
ในการเยียวยาดังกล่าว เราดึงออกมาทั้งความเข้มแข็งและความสิ้นเรี่ยวสิ้นแรง
ความเจ็บปวด และความปรารถนาที่จะค้นพบจุดบรรจบระหว่างเรากับผู้อื่น
ความอบอุ่นแบบนักวิชาชีพไม่สามารถบำบัดผู้อื่นได้
สิ่งที่จะเอื้อให้เราช่วยเหลือผู้อื่นได้ มิใช่ความเชี่ยวชาญ
แต่คือการสำรวจความทุกข์ของเราเอง
มันจะทำให้เราสัมผัสความเจ็บปวดของเพื่อนมนุษย์ด้วยจิตแห่งกรุณา
แทนที่จะกลัวหรือความสงสาร
เราต้องเชื้อเชิญทั้งหมดนี้ให้เข้ามา.
เราไม่อาจร่วมเดินทางไปกับคนอื่นๆ ไปยังที่ที่เรายังไม่เคยสำรวจด้วยตัวเอง
การสำรวจชีวิตด้านในของเราต่างหากที่จะเป็นสะพานแห่งความเห็นใจ พาเราเข้าไปหาผู้อื่นได้.
ข้อสาม: อย่ารั้งรอ
ความอดทนนั้นต่างกับการรั้งรอ.
เมื่อเรารั้งรอ, เราจะเต็มไปด้วยความคาดหวัง
เราจะพลาดโอกาสที่ชั่วขณะนั้นกำลังมอบให้เรา.
เมื่อใดก็ตามที่เรามีความกังวลใจหรือวางแผนเกี่ยวกับอนาคต,
เราพลาดโอกาสมากมายที่อยู่ตรงหน้าเรา.
การรอคอยชั่วขณะแห่งความตาย
จะทำให้เราพลาดชั่วขณะแห่งการดำรงอยู่อีกมากมายหลายขณะ, อย่าได้รั้งรอ.
หากมีใครบางคนที่คุณรัก, จงบอกให้เขารู้ว่าคุณรักเขา
จงเปิดโอกาสให้ความไม่แน่นอนอันเป็นธรรมดาของชีวิตนี้
บอกแก่คุณว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต และขอให้เข้าไปหามันอย่างสุดตัว.
ข้อสี่: รู้จักผ่อนพักท่ามกลางสรรพสิ่ง
เรามักคิดไปว่าจะผ่อนพักได้ต่อเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว.
เหมือนกับเวลาเราไปเที่ยวในวันหยุดหรือตอนที่งานเราเสร็จ.
เราคิดว่าเราจะผ่อนพักอย่างสงบได้ก็ต่อเมื่อสิ่งแวดล้อมหรือเงื่อนไขชีวิตเปลี่ยนไป
แต่การจะพบความสงบท่ามกลางความสับสนวุ่นวายนั้นทำได้
เราจะสัมผัสได้เมื่อเราใส่ใจจดจ่อเต็มที่กับวินาทีนี้ หรือกิจกรรมนี้ โดยไม่วอกแวก
ที่สำหรับผ่อนพักเยี่ยงนี้มีอยู่เสมอ. เพียงแต่เราใส่ใจกับมัน
มันเป็นอีกด้านหนึ่งของเราที่ไม่เคยเจ็บป่วย,
ไม่เกิดและไม่ตาย
ข้อห้า: น้อมใจอยู่ในความไม่รู้
ข้อนี้หมายถึงใจที่เปิดกว้างและยอมรับ.
ใจที่ไม่ถูกจำกัดโดยแผนการ บทบาท หรือความคาดหวังใดๆ
ท่านอาจารย์ซูซูกิ อาจารย์เซนผู้ยิ่งใหญ่ มักชอบกล่าวว่า
“ในจิตของผู้เริ่มต้น มีความเป็นไปได้อันหลากหลาย,
แต่จิตของผู้เชี่ยวชาญมีความเป็นไปได้ เพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
มองในแง่นี้เราจะตระหนักได้ว่า “ยิ่งไม่รู้ก็ยิ่งสนิทชิดเชื้อ”
หากเข้าใจเรื่องนี้ เราจะอยู่ชิดใกล้กับประสบการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น
และปล่อยให้สถานการณ์ต่างๆ บอกเราเองว่าควรทำอะไร
เราพึงฟังเสียงข้างในอย่างใส่ใจ,
รับรู้ถึงแรงกระตุ้นภายใน, เชื่อมั่นในความหยั่งรู้ของเรา.
เราพึงรู้จักมองด้วยด้วยสายตาที่สดใหม่เสมอ
---
โดย แฟรงค์ โอสตาเซกิ ผู้ก่อตั้งสถาบัน สถาบันอาลัย