Error message

Deprecated function: The each() function is deprecated. This message will be suppressed on further calls in menu_set_active_trail() (line 2385 of /home/budnetorg/domains/budnet.org/public_html/sunset/includes/menu.inc).

ตายเพื่อจะเกิดใหม่

-A +A

          ในห้องขนาดใหญ่ที่มีเพียงแสงเทียนสลัว ชายและหญิงต่างวัยหลายสิบคนในชุดสำหรับ "คนตาย" ตามธรรมเนียมเกาหลีที่ทำมาจากต้นปอ ค่อยๆ ก้าวลงโลงศพที่ทำจากไม้ ฝาโลงค่อยๆ ปิดลง พร้อมกับเสียงค้อนที่ตอกลง

          แท้จริงแล้วนี่ไม่ใช่พิธีศพ ฝาโลงถูกปิดเพียง ๕ นาที และการตอกค้อนลงบนฝาโลง เป็นเพียงการตอกแบบหลอกๆ เพื่อเป็นการสื่อบางสิ่งให้แก่ผู้ที่อยู่ในโลงทราบเท่านั้น

          ถือเป็นพิธีกรรมขั้นตอนสุดท้ายของ "มรณาสมาคม" (Coffin Academy) ของเกาหลีใต้ และ "นักเรียน" ยังต้องเขียนคำจารึกบนหลุมฝังศพ และถ้อยคำสรรเสริญคนตาย โดยต้องจ่ายเงินราว ๓๐ ดอลลาร์ สำหรับการสัมนาและพิธีกรรมนาน ๔ ชั่วโมง

          นายจุง จุน วัย ๔๐ ปี ผู้ก่อตั้งกลุ่มบำบัด "มรณาสมาคม" กล่าวว่า การกระทำเช่นนี้อาจทำให้คนที่ไม่เข้าใจรู้สึกตกใจในตอนแรก แต่พวกเขาจะเข้าใจความหมายของการมีชีวิตอยู่ในที่สุด

          ในห้องมืดที่มีเพียงแสงจากเทียนส่อง โลงศพถูกวางเรียงกันเป็นแถว แต่ละคนค่อยๆ ก้าวลงไปนอนในโลงศพอย่างช้าๆ ในท่านอนราบ และแขนแนบลำตัว ก่อนที่โลงศพจะถูกปิดลงเป็นเวลาราว ๕-๑๐ นาที

          "ในอเมริกามีเหตุการณ์ ๑๑ กันยายน ในเฮติมีเหตุแผ่นดินไหว ชีวิตของเรามีความไม่แน่นอนและอาจถูกพรากไปเมื่อไหร่ก็ได้ ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องตระหนักว่าชีวิตเรามีค่ามากเพียงใด" นายจุนยังกล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้ เขาเคยพยายามจะฆ่าตัวตายมาแล้วเกินกว่าหนึ่งครั้ง โดยหลังจากเรียนจบ เขาเริ่มจับธุรกิจเล็กๆ น้อยๆ หลายตัว แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้รู้สึกอับอาย และต้องการจบชีวิตตนเอง "ผมเคยพยายามกระโดดสะพาน แต่ล้มเหลว พยายามเชือดข้อมือตัวเอง แต่ก็พลาดอีก"

          นั่นเป็นเรื่องไม่น่าแปลกใจนัก เกาหลีใต้ถือเป็นประเทศที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุดในบรรดา ๓๐ ชาติสมาชิกขององค์การเพื่อการพัฒนาและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ จากการสำรวจเมื่อปีค.ศ.๒๐๐๙ จนกระทั่งปัจจุบัน แม้ว่าอัตราการฆ่าตัวตายในประเทศอื่นๆ จะลดลง แต่ของเกาหลีใต้ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง และสูงเป็นสองเท่าของสหรัฐฯ

          แต่ที่สุดแล้วจุนก็ค่อยๆ คิดได้ว่าชีวิตเป็นสิ่งที่มีค่าเกินกว่าจะโยนทิ้งไปเฉยๆ และเป็นสาเหตุที่ทำให้โครงการนี้เกิดขึ้น

          ในระหว่างการสัมนา นายโอ คุน ยัง ถ่ายรูปตนเอง โดยเบื้องหลังทำเป็นรูปดอกไม้สำหรับไว้อาลัยให้คนตายที่จะถูกนำไปเป็นรูปประดับโลงศพ เขากล่าวว่า ชีวิตเขาสิ้นไร้หนทาง เขาจึงมาที่นี่เพื่อช่วยเปิดทางให้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง

          นายโอกล่าวว่า จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตเขาเกิดขึ้นในระหว่างที่กำลังอ่านคำจารึกบนหลุมศพต่อหน้าคนอื่นๆ ในระหว่างที่กำลังเขียนมัน เขาเริ่มคิดถึงครอบครัว ภรรยาและลูก ว่าจะรู้สึกอย่างไรหากเขาตาย และตอนนั้นเองเขารู้สึกว่าตนเองกำลังจะร้องไห้

          ต่อมา เมื่อได้ทอดร่างลงในโลงศพที่ปิดตาย นั่นทำให้เขาคิดได้ว่าควรจะเริ่มชีวิตใหม่ต่อไปอย่างไรต่อไป

          ด้านนายกวาง มุน ลี เปิดเผยถึงความรู้สึกที่คล้ายคลึงกัน เขาเคยคิดว่า เหตุใดคนอื่นจึงดีกว่าตนเอง คนอื่นมีดีอย่างไร แต่หลังจากการเข้าร่วมโครงการครั้งนี้ ทำให้เขาตระหนักได้ว่าตนเองมีดีเช่นใด และจะดึงสิ่งเหล่านั้นออกมาได้อย่างไร

          ผู้เข้าร่วมโครงการนี้ส่วนใหญ่ ถูกส่งมาจากองค์กรหรือบริษัท แต่นายจุง จุน เชื่อว่า โครงการนี้ทำให้บุคคลที่พยายามจะจบทุกสิ่งในชีวิตของตนเองรู้สึกสนใจได้

          ขณะที่นายยู ซอบ ฮา จิตแพทย์และประธานสมาคมการป้องกันการฆ่าตัวตายแห่งเกาหลี ตั้งข้อสงสัยว่า อาการป่วยทางจิตและการฆ่าตัวตายในเกาหลีใต้ ถูกปลูกฝังอยู่ในความคิดของคนเกาหลีว่า คนที่ต้องการความช่วยเหลือมักจะไม่ใช้วิธีเช่นนั้น และชี้ว่า คนที่ต้องการค้นหาความหมายให้แก่ชีวิตของตนเอง ก็สามารถลงไปนอนในโลงศพได้ แต่คนที่ต้องการฆ่าตัวตายจริงๆ แล้วยังจะต้องการไปร่วมพิธีกรรมเช่นนั้นหรือไม่

------

เรียบเรียงจาก “ตาย, เพื่อจะเกิดใหม่ วิธีการรับมือ ชีวิต "บัดซบ" แบบเกาหลี” 
มติชน ๗ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๔

 

คอลัมน์:

ผู้เขียน: