ออสการ์กับหญิงเสื้อชมพู
ผมรู้จักออสการ์ เด็กชายตัวน้อยอายุ ๑๐ ขวบ ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตประมาณ ๑๒ วันเอง ย้อนนึกดู ไม่น่าเชื่อว่าในช่วง ๑๒ วันก่อนที่เขาจะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย ผมจะได้มีโอกาสเรียนรู้แง่มุมชีวิตบางอย่างที่มีคุณค่ามากจากออสการ์และเพื่อนของเขา หญิงชราในชุดเสื้อสีชมพู เธอชื่อ คุณยายโรส ที่น่าทึ่งคือ เธออายุมากแล้ว แต่เธอซ่าส์ เธอเปรี้ยว และที่สำคัญเธออบอุ่น และอ่อนโยน
สำหรับเด็กน้อยอายุ ๑๐ ปี การเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายและหมายถึงความตายที่กำลังรออยู่ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย พ่อกับแม่ของออสการ์ก็เหมือนกัน ความกลัวต่อการสูญเสีย และความตาย ทำให้พวกเขาเลือกที่จะอยู่กับการงานมากกว่าใช้ช่วงเวลาสุดท้ายกับลูก ออสการ์มองว่าพ่อแม่ของตนขี้ขลาด และนั่นทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาห่างเหิน เป็นความเจ็บปวดที่ร้าวลึก
จริงๆ พ่อแม่ของออสการ์ก็เหมือนพ่อแม่คนอื่นๆ ที่รักลูก แต่การยอมรับว่าลูกกำลังจะตาย ความจริงดังกล่าวอาจเจ็บปวดเกินกว่าจะยอมรับ พ่อแม่ของออสการ์เลยเลือกที่จะปฏิเสธ และทำให้ไม่กล้าพบหน้า ไม่กล้าใกล้ชิดลูกชาย ไม่ใช่เพราะไม่รัก แต่เพราะความกลัวต่อความตายต่างหาก
แล้วเราจะทำอย่างดีเพื่อช่วยเหลือออสการ์ โชคดีที่คุณยายโรสเข้ามาในจังหวะนี้ คุณยายแนะนำให้ออสการ์เขียนจดหมายถึงพระเจ้า บอกเล่าเรื่องราว ประสบการณ์ที่เกิดขึ้น อาจจะด้วยคำอธิบายง่ายๆ จะด้วยบุคลิกท่าทางของคุณยายโรส หรืออะไรก็แล้วแต่ ออสการ์เริ่มเขียนจดหมาย พร้อมกับคุณยายก็สานสัมพันธ์กับออสการ์โดยใช้ประสบการณ์การเล่นมวยปล้ำ นำพาให้ออสการ์พบกับความสนุกสนาน ความตื่นเต้น รวมไปถึงการเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตบางอย่าง
คุณยายโรสยังทำหน้าที่เหมือนผู้นำทางให้คนอ่านและออสการ์ได้เรียนรู้เส้นทางชีวิตในแต่ละช่วงวัยด้วย แต่ละวันของออสการ์ที่ผ่านไป ผู้เขียนได้จำลองภาพให้เห็นเส้นทางชีวิตแต่ละช่วง ๑๐ ปี เทียบเท่ากับ ๑ วันของออสการ์ ทำให้เรายิ้มแย้ม พร้อมเสียน้ำตาให้กับบางเรื่องราวที่ประสบในแต่ละช่วงวัย มองอีกแง่หนึ่ง ออสการ์ออกจะดูเป็นเด็ก “แก่แดด” แต่ในขณะเดียวกันก็น่ารักเหลือเกิน
ออสการ์เรียนรู้เรื่องความรัก ความกล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับความรัก พร้อมกับความรับผิดชอบต่อบุคคลที่เขารัก ไม่เพียงเท่านั้น ออสการ์ยังนำพาให้เราได้เข้าใจด้วยว่าแต่ละช่วงวัยของชีวิต เราต่างต้องทดสอบตัวเองกับวิกฤตที่อาจจะเกิดขึ้น เมื่อเราเกิดมา เรามีหน้าที่ต่อคนรอบข้างทั้งในเรื่องความสัมพันธ์ ความรับผิดชอบ และการงานที่เกี่ยวข้อง หนังสือยังนำพาให้เราได้รับรู้ด้วยว่า เรายังมีหน้าที่ต่อตนเองในการเชื่อมโยงกับมิติทางจิตวิญญาณ จดหมายถึงพระเจ้าที่ออสการ์เขียน ทำให้เราได้เข้าใจและรับรู้ได้ว่า ทุกคนต่างต้องการศาสนาในฐานะที่พึ่งทางใจ ออสการ์บรรยายความคิดของตนว่า
“ผมเข้าใจว่าพระเจ้าอยู่ที่นั่น เข้าใจว่าพระเจ้าบอกความลับกับผม จงมองโลกทุกวันเหมือนมองโลกครั้งแรก... ผมเฝ้ามองแสง สี ต้นไม้ นก สัตว์ต่างๆ ผมรับรู้ถึงอากาศที่ผ่านเข้าไป ผ่านจมูกและทำให้ผมสูดหายใจ ผมได้ยินเสียงที่ดังมาจากทางเดินนอกห้องราวกับเสียงใต้โดมในโบสถ์ ผมพบตัวเองมีชีวิต ผมตัวสั่นจากความสุขแสนอิ่มเอม ความสุขที่ได้มีชีวิตอยู่ ผมรู้สึกเหมือนต้องมนต์ขลัง ขอบคุณครับพระเจ้าที่ทำแบบนี้ให้ผม ผมรู้สึกเหมือนพระเจ้าจับมือผมไว้และพาผมไปยังใจกลางความลี้ลับเพื่อสัมผัสกับปริศนา ขอบคุณครับ”
อีกฉากหนึ่งที่ผมชื่นชอบมาก คือ ฉากที่ออสการ์สอนมวยคุณหมอที่มักทำสีหน้าหนักอกหนักใจ เวลาที่กำลังตรวจไข้ออสการ์ บ่อยครั้งเรามักทำตัวแบบคุณหมอในเรื่อง คำพูดเตือนสติแบบนี้จึงเหมาะควรอย่างยิ่งที่เราควรบอกตนเองเสมอเวลาที่อัตตาตัวใหญ่กำลังทำงาน
“อย่าเครียดเลย คุณหมอไม่ใช่พระเจ้าผู้เป็นใหญ่ คุณหมอไม่ใช่คนบงการธรรมชาติ คุณหมอเป็นแค่ช่างซ่อม สบายๆ เถอะครับคุณหมอ ปลดปล่อยบ้างและอย่าให้ความสำคัญกับตัวเองมากเกินไปนัก ไม่อย่างนั้น คุณหมอจะทำอาชีพนี้ไม่ได้นาน ดูสีหน้าคุณหมอตอนนี้เสียก่อนสิครับ”
แล้วออสการ์ก็จากไป จดหมายถึงพระเจ้าฉบับสุดท้าย คุณยายโรสเป็นคนเขียน บอกเล่าถึงบทเรียนและสิ่งดีๆ มีคุณค่าที่เธอได้รับจากออสการ์
เมื่อผู้แนะนำได้รู้จักหนังสือเล่มนี้ ครั้งแรกที่อ่านรู้สึกสนุกและหัวเราะไปกับความน่ารักของออสการ์ แต่เมื่ออ่านครั้งที่สอง และสาม ก็พบว่าแต่ละความคิด และแง่มุมที่ผู้เขียนสื่อสารผ่านมุมมองของออสการ์ ช่วยทำให้เราได้กลับมาทบทวนแง่มุมชีวิตของเราเองได้อย่างน่าประทับใจ ออสการ์กับหญิงเสื้อชมพู สามารถเป็นหนึ่งในหนังสือเล่มโปรดได้ไม่ยากเลย สำหรับท่านผู้อ่านที่สนใจเรื่องของคุณค่าชีวิต และความตาย
-----
* ออสการ์กับหญิงเสื้อชมพู
เอริค-เอ็มมานูเอล ชมิตต์ เขียน งามพรรณ เวชชาชีวะ แปล จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์ตะวันส่อง