My Sister’s Keeper พ่อแม่ไม่ฟังฉัน
ครอบครัวคือระบบความสัมพันธ์ ทุกหน่วยมีหน้าที่และสัมพันธ์ต่อกัน และต่อระบบทั้งหมด ดังนั้นยามที่องคาพยพใดเกิดความผิดปกติ การปรับตัวจึงเป็นปัจจัย ทักษะ ความสามารถ และปัจจัยชี้วัดสำคัญว่า ระบบทั้งหมดจะดำรงอยู่ต่อไปได้หรือไม่
เหมือนกับครอบครัวอื่นๆ ความพยายามในการปรับตัวของระบบเพื่อให้ครอบครัวดำรงอยู่ต่อไป ไบรอันในฐานะพ่อ และซาร่าห์ในฐานะแม่ ดิ้นรนทุกหนทางเพื่อรักษาชีวิตของลูกสาวเธอ เมื่อมีโอกาสใดเข้ามา ก็ต้องคว้าไว้ แม้จะต้องแลกด้วยหลายสิ่งหลายอย่าง
My Sister’s Keeper เป็นเรื่องราวครอบครัวชนชั้นกลางอเมริกันที่ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี แต่แล้วจู่ๆ ก็พบว่าเคท ลูกสาวป่วยด้วยโรคมะเร็งร้ายแรง ไม่มีทางรักษา หนทางเดียวที่มีโอกาสและเป็นไปได้มากที่สุด คือ เคทจะต้องอาศัยน้องสาวที่มีสารพันธุกรรมคอยช่วยเป็นอะไหล่เพื่อต่อชีวิตพี่สาว และหมายถึงแอนนา น้องสาวของเคทจะต้องเวียนเข้าออก โรงพยาบาลเพื่อช่วยชีวิตพี่สาวให้ยืนยาวต่อไป
ครอบครัวนี้พยายามปรับตัวเพื่อให้ระบบดำเนินต่อไป ท่ามกลางการปรับตัวมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น เจสซี ลูกชายคนโตกลายเป็นเด็กเงียบขรึม เคททุกข์ทรมานกับการรักษา และทุกข์ใจกับชีวิตวัยรุ่นที่หลายไป ขณะที่แอนนาก็สับสนและไม่มั่นใจในคุณค่าชีวิตของเธอ
ยามเมื่อสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรง ความเจ็บป่วยนั้นก็ลุกลามไปยังสมาชิกคนอื่นๆ ด้วย ซาร่าห์ลาออกจากงานเพื่อมาดูแลลูกสาว ป้าหันมาทำงานครึ่งเวลาเพื่อช่วยครอบครัวน้องสาว ความเจ็บป่วยของเคทดึงความสนใจ ทรัพยากรทั้งหมดของครอบครัวไปเพื่อการรักษาพยาบาล เจสสีถูกปล่อยปละทั้งที่เขาเองก็ต้องการความช่วยเหลือ ความเป็นเด็กเรียนรู้ช้าก็สร้างความทุกข์ใจให้กับเจสสีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าโรคร้ายของเคท โชคร้ายที่พ่อและแม่ไม่มีพลังงานเหลือพอที่จะมาใส่ใจเจสสีนัก วิธีการรับมือของเจสสีก็คือ การเงียบเข้าไว้ แน่นอนเขารักน้องสาว รักพ่อแม่และครอบครัวแต่เขาก้องการความใส่ใจด้วยเช่นกัน
โรคร้ายทำให้เคทต้องมีชีวิตในฐานะผู้ป่วย วนเวียนอยู่กับบ้านและโรงพยาบาล กระนั้นเธอก็ยังมีและต้องการมิติอื่นๆ ของชีวิต เธอต้องการชีวิตวัยรุ่น ต้องการเป็นที่สนใจในฐานะเด็กสาว สร้างและสานสัมพันธ์พิเศษกับเพื่อนชาย มันเป็นช่วงการเปลี่ยนผ่านของวัย ซาร่าห์และไบรอันในฐานะแม่และพ่อจึงไม่เพียงต้องรับมือกับโรคร้าย แต่ยังต้อองรับมือกับภาวะวัยรุ่นของลูกๆ ตัวเอง และที่สำคัญลูกๆ ของเธอแต่ละคนก็กำลังก้าวผ่านชีวิตวัยเด็กเข้าสู่วัยรุ่นที่มีความคิด ความอ่าน และความต้องการของตนเอง พวกเขาเริ่มเป็นอิสระมากขึ้น
ภายใต้เรื่องราวชีวิต แอนนาถูกขอร้องเชิงบังคับจากพี่สาวให้ฟ้องร้องพ่อแม่ เพื่อขออำนาจศาลระงับสิทธิที่พ่อแม่จะมีต่อร่างกายของเธอ ดูเป็นเรื่องใหญ่โตทีเดียวที่อยู่ๆ เด็กลุกขึ้นมาฟ้องร้องพ่อแม่ของตนเอง สิ่งที่ดีและเกิดขึ้นในครอบครัวนี้ก็คือ โอกาสที่ทุกสมาชิกในครอบครัวต้องหันหน้ามาเผชิญและพูดความจริง และแล้วความจริงหลายอย่างก็ถูกบอกเล่า ซาร่าห์พบว่า ภายใต้กระบวนการรักษา แอนนาก็ต้องเจ็บปวดและทุกข์ทรมานกับการช่วยเหลือพี่สาว เคทไม่ได้ต้องการการรักษา เธอยอมรับได้กับความตาย เจสสีกลายเป็นเด็กเงียบขรึม และไม่แสดงตัวตนใดๆ หลายคนพยายามสื่อสารถึงความต้องการของตนเอง แต่ซาร่าห์ก็ไม่เคยรับฟังจริงๆ ไบรอันในฐานะพ่อพยายามประสานไมตรี รอมชอมกับทุกฝ่าย กระทั่งถึงจุดแตกหัก เมื่อพบว่าซาร่าห์ไม่ฟังความต้องการแท้จริงของเคทที่อยากไปเที่ยวทะเลมากกว่าการอยู่โรงพยาบาล หลายคนก็คล้ายๆ ซาร่าห์ มองเห็นแต่โรคภัยไข้เจ็บ โดยไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับอีกฝ่าย ไม่ได้ใส่ใจความคิด ความรู้สึก ความต้องการที่แท้ของอีกฝ่าย
สิ่งที่พึงระลึกคือ การให้ของขวัญที่ดีที่สุด คือ การยอมปล่อยให้คนที่เรารักเดินจากไปและได้สิ่งที่เขาต้องการ แม้ว่าจะทำให้เราเจ็บปวดที่สุด เรื่องราวจบลงอย่างที่ควรจะเป็นและที่น่าสนใจ คือ ความทุกข์แสนสาหัสในที่สุดก็จะผ่านเลยไป ครอบครัวของไบรอัน ซาร่าห์ เจสสี และแอนนา ต้องสูญเสียเคท แต่ทั้งหมดก็ยังมีชีวิต และดำเนินชีวิตต่อไป
My Sister’s Keeper ให้ภาพชีวิตของครอบครัวที่ต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้ครอบครัวดำเนินต่อไป อคติกับความตาย โรคร้ายที่คุกคามชีวิต ความก้าวหน้าทางการแพทย์ สิทธิของพ่อแม่ที่มีต่อร่างกายของลูก ประเด็นต่างๆ ถูกร้อยเรียงโดยมีแก่นแกนสำคัญคือ การสื่อสาร หลายเรื่อง หลายความรู้สึกไม่สามารถสื่อสารออกมาได้ กระทั่งถึงเวลาที่การผ่าตัดบาดแผลจะเกิดขึ้น พร้อมกันนี้ ภาพยนตร์ยังให้ภาพของการถือครองอำนาจที่แตกต่างกัน ซาร่าห์ในฐานะแม่ถือครองอำนาจเหนือจนแทบไม่รับฟังใคร พ่อพยายามถือครองอำนาจร่วมเพื่อประคองครอบครัว ขณะที่บรรดาลูกๆ ซึ่งมีอำนาจน้อยได้แต่เล่นบททำตาม หลายครอบครัวไม่เคยฟังเสียงของเด็กๆ ทั้งที่เด็กๆ กล้าพูดความจริงมากกว่าพวกเราที่เป็นผู้ใหญ่หลายคน