แก่อย่างไรชีวิตจึงจะสงบสุข
เวลาที่พูดถึงคนแก่ ก็มักจะไม่มีเสียงกระตือรือร้นที่บ่งบอกถึงความสนใจที่จะเป็นประเด็นพูดคุยหรือตอบสนอง ผิดกับเรื่องเด็ก หรือเรื่องของการทำงาน ก็ไม่แปลกอะไรนักในสังคมที่ให้คุณค่ากับการพัฒนาความเจริญก้าวหน้าของชีวิตในแง่ของการมีตำแหน่งแห่งที่ มีตัวตน ความชรากลายเป็นชีวิตอีกด้านที่ตรงข้าม ไม่ใคร่มีใครอยากพูดถึงหรืออยากจะเป็นด้วยซ้ำทั้งที่มิอาจหลีกเลี่ยงเมื่อเขาเดินผ่านช่วงวัยทำงานไปแล้วสู่บั้นปลายชีวิต
เพราะการหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงวัยชรา จะเตรียมการใช้ชีวิตในวัยชรา เมื่อเข้าสู่วัยชรา จึงมักพบว่าหลายคนไม่สามารถอยู่อย่างสงบ และมักทุรนทุรายกับความเจ็บป่วย หรือใช้ชีวิตอย่างไม่มีคุณภาพชีวิตตราบจนถึงวาระสุดท้าย ตายอย่างไม่สงบ
จึงมีความน่าสนใจมากที่พบว่ามีคนมากมายพูดถึงคนในวัยชราคนหนึ่งที่บัดนี้เหลือแต่ร่างของเขาวางอยู่ในโลงศพ เป็นการพูดถึงเขาตอนที่มีชีวิตอยู่ ยกย่องสรรเสริญในความมีน้ำใจโอบอ้อมอารี ทั้งที่เขาไม่ได้เป็นคนที่มีชื่อเสียง ไม่ได้เป็นผู้ก่อตั้งอะไรทั้งสิ้น เพียงเพราะต่างเห็นตรงกัน จากการสัมผัสเขา
ลุงตั้ก วัย ๘๐ ต้นๆ เคยเป็นเจ้าของร้านค้าขายจักรยาน พอธุรกิจเจริญก้าวหน้า ประกอบกับวัย จึงได้วางมือยกให้ลูกชายดำเนินต่อ ชีวิตดูเหมือนจะมั่นคงเพราะยังมีบุตรสาวอีกสองคนเป็นแพทย์ทั้งคู่ ชีวิตลุงตั้กจึงไม่ได้ขัดสน แถมยังมีเหลือเฟือหากจะจับจ่ายใช้สอย ท่องเที่ยวทั่วโลกได้อย่างสะดวกสบาย ลูกๆ พร้อมที่จะสนับสนุน แต่ลุงตั้กหาได้เลือกชีวิตแบบนั้นไม่ ลุงตั้กใช้ชีวิตอย่างสมถะ ทุกคนที่สัมผัสกับลุงตั้กที่สวนลุมเล่าให้ฟังว่า แกจะมาแต่เช้าก่อนเวลาของวงรำไท้เก็กที่แกเป็นสมาชิกกลุ่มประจำจะเล่นเสียอีก เพื่อไปยืดเส้นยืดสายก่อน จากนั้นแกก็จะไปเตรียมซื้อของกิน เช่น น้ำเต้าหู้ เต้าฮวย ถุงละ ๑๐ บาท มาแจกสมาชิกที่มาเล่น ไม่ต่ำกว่าวันละ ๑๐ ถุง เป็นเช่นนี้ทุกวัน ในขณะที่คนอื่นไม่ได้เตรียมอะไรมาให้คนอื่น และแม้แต่จะมาก็แทบไม่ทันช่วงเริ่มต้นเล่น และบุคลิกที่สงบ แกจะมอบให้ทุกคน ทักทายเล็กน้อยและมักปลีกไปนั่งอย่างสงบ ทุกคนจะเกรงใจและรับด้วยความรู้สึกอบอุ่น และยิ่งมารู้ภายหลังว่าแกเอาเงินที่ลูกให้มาเป็นค่ารถแท็กซี่สำหรับเดินทางไปสวนลุม แล้วแกจะนั่งรถเมล์แทน ด้วยความระมัดระวัง รอขึ้นรถที่ไม่เร่งรีบ แกทำอย่างนี้มานานหลายปี จนระยะหลังๆ คนอื่นๆ ก็เริ่มทยอยหาอะไรมาเสริม จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของการเชื่อมกลุ่ม คือการให้เวลามานั่งกิน จิบอะไร ถามไถ่สักพัก จึงจะแยกย้ายกลับ ไม่ใช่เล่นเสร็จก็กลับเลย ความสัมพันธ์ของกลุ่มจึงเป็นเสมือนญาติช่วยเหลือเกื้อกูล คุยกันทั้งเรื่องสุขภาพ ชีวิต และสังคมบ้าง
จนวันหนึ่ง ข่าวการเสียชีวิตกระทันหัน ที่โทรเข้ามาที่มือถือของผู้นำรำไท้เก็กอาวุโส วันนั้นทุกคนช็อค นานมากกว่าที่จะเชื่อว่าที่ลุงตั้กไม่ปรากฏตัวนั้น จะไม่มาอีกต่อไปเลย
บุตรสาวที่เป็นหมอเล่าให้ฟังว่าคุณพ่อถูกรถเก๋งชนขณะที่กำลังข้ามถนนหลังจากใส่บาตรแล้ว รถคันที่ชนแล่นมาจากข้างหลังซาเล้งอย่างรวดเร็ว อาจจะเป็นเพราะช่วงที่ยังเช้ามืด จึงไม่ทันเห็นรถคันดังกล่าวที่พุ่งเข้ามา บุตรสาวเล่าว่าคนขับออกมาดูถึงกับน้ำตาคลอเมื่อรู้ว่าชนคนแก่ เขาเป็นชาวเกาหลี คุณพ่อเสียชีวิตขณะกำลังนำส่งโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ชีพในรถพยายามปั๊มหัวใจแต่ไม่สำเร็จ ภายหลังบุตรสาวตรวจพบว่ากระโหลกศรีษะได้รับการกระทบอย่างแรง บุตรสาวเล่าว่าสีหน้าของพ่อนั้นดูสงบเหมือนนอนปกติ จึงเชื่อว่า แกตายอย่างสงบ แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่บุตรทั้งสามยากที่จะทำใจ เสียใจมาก เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา คอยดูแลให้พ่อแข็งแรง เพราะพ่อเป็นคนที่ทำให้ครอบครัวอบอุ่น ลูกๆ รักพ่อมาก ยังคิดว่าไม่น่าจากไปเร็ว และยิ่งคิดยิ่งเสียใจที่บางอย่างทำช้าไป คือเตรียมรถและคนขับรับส่งพ่อไปสวนลุมทุกวัน เพราะพ่อเป็นคนขี้เกรงใจ ไม่เอ่ยต้องการอะไร
ชุมชนรำไท้เก็ก สวนลุมน่าจะได้รับบุคลิกผู้ใหญ่ใจดี สมถะอย่างลุงตั้กส่วนหนึ่งกลายเป็นต้นแบบโดยธรรมชาติผสมผสานกับผู้ใหญ่ใจดีที่มีบุคลิกหลากหลาย แต่มีพื้นฐานเรียบง่าย ดูแลกันเป็นธรรมชาติ ไม่ยึดติดรูปแบบ
ณ เบื้องหน้าร่างศพของลุงตั้ก จึงอบอุ่นด้วยผู้คนจำนวนมากทั้งเพื่อนและลูกหลานมาจากสวนลุมมาร่วมงาน ไว้อาลัย ทำให้บุตรสาวและบุตรชายปราบปลื้มนึกไม่ถึงว่าคุณพ่อจะมีคนที่รักมากมาย สร้างความประทับใจให้แก่ผู้ร่วมงานอย่างไม่ถึง ปกติงานศพของผู้สูงอายุโดยเฉพาะคนเมืองที่ต่างคนต่างอยู่ คนจะมาร่วมงานศพน้อยถ้าไม่มีชื่อเสียง แต่กรณีลุงตั้ก มีกคนที่เกี่ยวข้องกับบุตรแล้ว คนที่รู้จักลุงตั้กมากันมากมายทั้งที่บางคนก็ไม่ได้สัมผัสกับลุงตั้กมากนักก็มี
คนแก่ที่อยู่อย่างลุงตั้ก มีชีวิตที่สมถะเรียบง่าย อยู่อย่างพอเพียง มีธรรม โอบอ้อมอารี ชีวิตบั้นปลายย่อมประสบความสุข สงบจนแม้วาระสุดท้ายจะมาถึงโดยมิอาจตั้งตัวอย่างลุงตั้ก เพราะแกมีกุศลจิตนี้เอง ถึงจะเป็นคนแก่ก็ตาม