การรักษาสัมพันธภาพในขณะให้การดูแล
ผู้คนราว ๕๔ ล้านคนในสหรัฐอเมริกากำลังดูแลคนชราหรือคนรักที่ป่วยเรื้อรัง ตามข้อมูลของสมาคมผู้ดูแลแห่งชาติ คนที่ดูแลบางคนก็เป็นคู่ บางคนก็เป็นพ่อแม่ที่แก่เฒ่า เจน มิลเลอร์ (เป็นนามสมมุติ) ต้องดูแลทั้งสองกรณีและเธอรู้ด้วยตนเองว่าความเครียดที่เกิดจากการดูแลจะมีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์
เมื่อห้าปีที่แล้ว เจนเริ่มเดินทางจากบ้านที่อยู่แถบตะวันออกเฉียงเหนือในในฟลอริด้า บางครั้งก็นานกว่าสามเดือน เพื่อดูแลมารดาอายุ ๘๗ ปี ซึ่งป่วยด้วยอาการเส้นเลือดสมองแตกมาหลายครั้ง “ฉันอยากอยู่กับแม่ เตรียมอาหารให้แม่ ทำความสะอาดบ้านเอาไว้ให้ เพื่อให้แม่สามารถอยู่คนเดียวได้”
ภาระสองอย่าง
หลังจากกลับบ้าน เจนเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวบ็อบ เพื่อนชายที่เธอคบมากว่า ๑๕ ปี บ็อบเริ่มลืมคำพูด ต่อมาอาการลามไปสู่การหลงทางเมื่อขับรถแถวบ้าน หลังจากต้องเจอกับการวินิจฉัยที่ผิดพลาดในตอนแรก หมอก็บอกว่าบ็อบกำลังเป็นอัลไซเมอร์ในระยะที่สอง
“บางครั้ง เขาก็นั่งเหม่อไปเฉยๆ” เจนกล่าวถึงบ็อบ ซึ่งตอนนี้ไม่สามารถขับรถได้แล้ว แต่ยังทำเรื่องง่ายๆ อย่างเช่น การอุ่นแซนด์วิชด้วยไมโครเวฟ ถ้าหากเจนต้องออกไปทำธุระนอกบ้าน เธอจะทิ้งโน้ตเตือนความจำเพื่อบอกให้เขารู้ว่าเธออยู่ที่ไหน เบอร์โทรศัพท์ต่างๆ จะอยู่ข้างโทรศัพท์ เจนยังจัดที่วางกุญแจให้ใกล้ๆ มือเขาในกรณีที่เขาเผลอขังตัวเองไว้ในห้องน้ำ “คุณต้องทำหลายเรื่องที่คนทั่วไปไม่ต้องใช้เวลาคิดด้วยซ้ำไป” เธอกล่าวล้อเล่น.
เมื่อปีก่อน ทั้งคู่ย้ายมายังชุมชนผู้เกษียณอายุในฟลอริดา ทำให้เจนสามารถดูแลทั้งแม่และคู่ของเธอได้
ความสัมพันธ์เป็นสิ่งที่ปรับเปลี่ยนได้ตลอด
ในขณะที่ความเครียดเป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมาย เจนบอกว่าการดูแลพ่อแม่นั้นได้เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับแม่ไปโดยสิ้นเชิง “ฉันรักแม่มากขึ้นมาก, แต่การดูแลแม่ก็เป็นเรื่องยากมากเช่นกัน” เจนกล่าวยอมรับ “เราเคยใกล้ชิดกันมาก เราแต่งตัวคล้ายๆ กัน เรียกพี่เรียกน้องกัน”
เจนบอกว่า วันเวลาแห่งความผูกพันรักใคร่กันถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกที่ไม่เป็นมิตรต่อกัน เจนยอมรับว่าเธอคิดที่จะหนีไป แต่ลึกลงไปเธอรู้ว่าสามัญสำนึกและศรัทธาที่เธอมีห้ามเธอไม่ให้ทำอย่างนั้น
“มันเคยเป็นเรื่องที่น่ากลัว แต่ว่ามันก็เป็นวิถีทางแห่งชีวิต คุณต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยให้บางอย่างผ่านไป คุณไม่จำเป็นที่ต้องแบกภาระทุกอย่างไว้กับตัวเอง” ทัศนคติที่มองโลกอย่างเป็นจริงของเธอมาจากการอบรมเชิงปฏิบัติการจำนวนมากที่เธอเข้าร่วมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เมื่อเธอต้องกลายเป็นผู้ดูแลเป็นครั้งแรก เธอจึงเข้าอบรมให้มากเท่าที่จะไปได้ หาข้อมูลให้มากเท่าที่จะหาได้ เธอบอกว่าบางครั้งก็เครียดมากจนทนไม่ได้ “คุณต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยมันไป ชีวิตเคยเป็นสิ่งที่บอบบางมาก และฉันก็ทนมันไม่ได้เพราะว่าฉันไม่ชอบเป็นคนอย่างที่ฉันกำลังเป็น ผู้คนมักจะบอกฉันว่า “คุณต้องการเวลาสำหรับตัวเอง” และฉันก็ตระหนักว่าฉันต้องทำอย่างนั้นจริงๆ ฉันไม่สามารถจะดูแลบ็อบหรือแม่ฉันหากว่าฉันไม่ดูแลตัวเอง”
ทุกๆ เช้า เจนพยายามที่จะใช้เวลาเพียงคนเดียวในสวน อ่านไบเบิ้ลก่อนที่จะเริ่มทำหน้าที่ดูแลคนที่รักอย่างที่เคย ทุกๆ เดือน เธอจะเข้ารวมกลุ่มสนับสนุนผู้ดูแลและเข้าเรียนการทำเซรามิค “หากว่าฉันไม่มีเวลาที่จะอยู่ลำพัง ฉันคงจะต้องเครียดมากเลยทีเดียว”
มุมมองของผู้ดูแล
“การดูแลพ่อแม่หรือคู่ที่ป่วยเห็นได้ชัดว่า เป็นเรื่องที่สร้างความเครียดอย่างที่สุด” ดร.คาร์เรน เชอร์แมน นักบำบัด ศาสตราจารย์และผู้เขียนหนังสือเรื่อง การแต่งงานอันมหัศจรรย์! ค้นให้พบ, รักษามันไว้, และทำให้มันยืนยาว (Marriage Magic! Find It, Keep It, and Make It Last.)
มันไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญเพียงเรื่องเดียวสำหรับผู้ดูแล ในการที่จะต้องมีเวลาอยู่ลำพัง พวกเขาต้องการจะแบ่งปันความรู้สึกนึกคิดผ่านระบบสนับสนุนผู้ดูแล “ปลดปล่อยความรู้สึกของคุณออกมา” เธอย้ำ “อย่ารู้สึกผิดในการแสดงอารมณ์ออกมา อย่าไปเก็บกักมันเอาไว้”
เป็นเรื่องดี เจนเชื่อว่าที่จริงแล้วความป่วยไข้นำพาพวกเขาให้มาใกล้ชิดกันยิ่งกว่าเดิม ถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกได้ถึงสุขภาพที่เสื่อมโทรมลงไปอย่างช้าๆ ในตัวบ็อบ “เขาบอกฉันอยู่เสมอว่าเขารักฉัน และฉันก็บอกเขาตลอดเวลาว่าฉันรักเขา ฉันไม่ต้องการให้เขาลืม ในยามที่แต่ละวันกำลังจะสิ้นสุดลง เขาก็จะบอกว่า ขอบคุณ”
ในขณะที่ความป่วยไข้ได้ทำให้ความผูกพันระหว่างบ็อบกับเจนแข็งแกร่งมากขึ้น, แต่ความเครียดจากการดูแลก็มักทำให้ชีวิตคู่ต้องจบลง
ถึงแม้ว่าจะมีความตึงเครียดทั้งร่างกายและจิตใจ แต่เจนก็ไม่คิดที่จะแลกมันกับอะไร “ถึงฉันจะไม่รู้ว่าทางที่เดินอยู่จะไกลหรือเดียวดายเพียงใด แต่มันก็คุ้มค่ามาก”
---
ที่มา: Keeping Relationships Strong While Caregiving: A True Story By Candace Rotolo
http://www.agingcare.com/Articles/caregiving-while-keeping-relationships...
กองสาราณียกร(แปล)