สะสางสิ่งคาใจ ปลดเปลื้องภาระติดค้างเพื่อคนอยู่ข้างหลัง
เรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญในการช่วยเหลือผู้ป่วยระยะสุดท้ายเพื่อให้ตายสงบ คือการได้สะสางสิ่งค้างคาใจจากสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ในช่วงที่มีชีวิตร่วมหรือเกี่ยวข้องกับผู้อื่น อาจมีเรื่องกระทบกระทั่งทำให้ผิดใจกัน ไม่ว่ากับสามีภรรยา ครอบครัว ญาติ เพื่อน หรือกระทั่งคนรอบข้าง หากว่าในช่วงสุดท้ายของชีวิต ไม่ได้มีการปรับความเข้าใจหรือสะสางความรู้สึกไม่ดีที่มีต่อกัน เมื่อผู้ป่วยจากไปแล้ว ก็อาจเกิดความรู้สึกไม่สบายใจ น้อยเนื้อต่ำใจ เสียใจ หรือโทษตัวเอง ที่ไม่ได้ขอโทษ ขอขมา หรือตอบแทนบุญคุณ กลายเป็นปม อุปสรรคต่อการดำเนินชีวิต จมจ่อมจนชีวิตหาเป็นสุขได้ไม่
ในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย สิ่งที่ยากสำหรับหลายคน คือการรู้ใจคนป่วยว่ามีใครที่เขาติดค้างอยู่ และต้องการทำอะไรให้กับบุคคลเหล่านั้น การเตรียมตัวให้แก่ผู้ป่วย โดยถามเขาหรือบอกเขาให้เตรียมการแต่เนิ่นๆ จะทำให้เขามีเวลา ที่จะใคร่ครวญถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ระลึกถึงใครบางคน และจะดำเนินการสะสางความรู้สึก ยิ่งทำแต่เนิ่นๆ เท่าไหร่ ยิ่งเป็นการดีเท่านั้น เพราะนับวันผู้ป่วยจะอยู่ในสภาพที่เคลื่อนไหวคล่องตัวได้น้อยลง อีกทั้งธรรมชาติของผู้ป่วยเองก็มักจะไม่อยากรบกวนคนอื่น บางรายมีโลกส่วนตัวสูง ไม่กล้าบอก หรือไม่เปิดเผยตัวตน บางคนมีชื่อเสียง ศักดิ์ศรีที่ต้องการรักษา ยิ่งคนที่มีอัตตามากเท่าไรก็อยากจะรักษาตัวตนมากเท่านั้น ผู้ดูแลจึงต้องมีความเข้าใจพื้นฐานของผู้ป่วย จนเมื่อเขาไว้วางใจ จึงจะเผยความในใจของเขาหรือสิ่งค้างคาใจ หรือแสดงออกที่ไม่ใช่คำพูด ผู้ดูแลต้องสังเกตว่าเขาต้องการอะไร
และที่ยากไม่แพ้กันคือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วย มักจะถูกมองข้าม เพราะเขาอาจจะไม่ได้มาปรากฏต่อหน้าผู้ป่วย หรือไม่ได้แสดงออก ผู้ดูแลต้องสังเกตเอง บุคคลเหล่านี้อาจมีเรื่องติดค้างกับผู้ป่วย จากความสัมพันธ์ในฐานะที่เขาเป็นคนใกล้ชิด ภรรยาสามี พ่อแม่ลูก ญาติ เพื่อนของผู้ป่วย เคยมีการกระทำในอดีตที่ติดค้างคาใจกับผู้ป่วย เช่น การไม่ได้ตอบแทนบุญคุณ ขอบคุณ หรือมีเหตุกระทบกระทั่ง จนเกิดความโกรธ เกลียด น้อยใจ แค้นฝังใจ ทำให้ไม่อยากมาเผชิญหน้ากับคนป่วย ไม่มาเยี่ยม ไม่ดูแล บางรายแม้แต่งานศพก็ยังไม่ไปด้วย จนกลายเป็นเก็บความทุกข์ใจในภายหลัง และเสียใจไปตลอดชีวิต ถ้าไม่มีการจัดการสิ่งค้างคาใจให้ดี นอกจากตนเองและผู้ป่วยแล้ว คนรอบข้าง คนในครอบครัวก็ได้รับผลกระทบไปด้วย เหมือนอย่างที่เวลาคนในครอบครัวขัดแย้งกัน คนที่เหลือก็ไม่สบายใจไปด้วย
ผู้ที่ไม่ยอมสะสางสิ่งค้างคาใจ แม้ผู้ป่วยตายไปแล้ว เขาจะมีปมค้างคาใจ เวลานึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านไป ก็จะเศร้าโศกเสียใจ หรือไม่ก็โทษ ตำหนิตนเอง บั่นทอนกำลังใจ กลายเป็นคนหงุดหงิด พฤติกรรมเปลี่ยนไป ชีวิตขาดความสุข ในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย จึงควรให้ความสำคัญในการสะสางสิ่งค้างคาใจที่เกิดกับทุกฝ่ายไม่เฉพาะผู้ป่วย ดังตัวอย่างกรณีต่อไปนี้
นายไช้เป็นผู้ป่วยสูงวัยอายุราว ๘๐ ช่วงหลังๆ เริ่มไม่มีเรี่ยวแรง กินข้าวได้น้อยลง เคลื่อนไหวแทบไม่ได้ ต้องนอนพักบ่อยๆ ช่วงสุดท้ายของชีวิตเขาพักที่บ้านพักคนชรา ลูกๆ มาเยี่ยมบ้างตามแต่โอกาส วันที่เขาจากไป ภาพสุดท้าย เขานอนนิ่ง ผู้ดูแลไม่รู้ว่าหมดลมตั้งแต่เมื่อใด ทั้งที่เขานอนอยู่ข้างๆ ผู้ดูแลไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ร่างของนายไช้นิ่ง สงบ ไม่ปรากฏให้เห็นว่าเขาจะทุรนทุรายอย่างไร ตั้งแต่เขามาพักที่นี่ เขาก็ไม่เคยเอะอะโวยวาย เรียกร้องขออะไร มีอะไรให้เขา เขาก็รับตามนั้น เวลาถามความต้องการของเขา เขาแทบไม่ต้องการอะไร และยิ้มน้อยๆ แต่เวลาที่ลูกมาเยี่ยม เขาจะมีสีหน้าที่สดใสขึ้น แต่ก็ไม่ร้องขออะไรจากลูกมากกว่านั้น และนอนนิ่งๆ ดูง่ายๆ
ลูกๆ ไม่ได้อยู่กับพ่อมานานหลายสิบปี ตั้งแต่แม่แยกทางจากพ่อ เอาลูกๆ ไปเลี้ยงจนโต ลูกๆ แทบจะไม่ได้ติดต่อกับพ่อเลย จนมาระยะหลังๆ ที่พ่อเจ็บป่วย จึงไปเยี่ยมเป็นครั้งคราว และไม่ยอมให้แม่รู้เป็นอันขาด
ลูกคอยมาติดตามดูแลพ่อ จนครั้งสุดท้าย มารับร่างของพ่อที่จากไปแล้วอย่างสงบ ลูกรู้สึกคลายความกังวลผิดกับก่อนหน้านี้ที่เกรงว่าพ่อจะทุกข์ทรมาน กลายเป็นความรู้สึกที่ดีที่ได้จากพ่อ ลูกพลอยสงบ สามารถปล่อยวางสิ่งที่เคยติดค้างคาใจอันเกิดจากการกระทำของพ่อในอดีต
แต่ปัญหาไม่ได้จบที่คนป่วย คนที่ลูกกลับห่วงมากที่สุดกลายเป็นแม่ ผู้เป็นภรรยาของนายไช้ มีเรื่องบาดหมางกับพ่อ ครั้งสุดท้ายหลายสิบปีก่อน แม่โกรธพ่อมาก ถึงกับตัดสินใจแยกทางกับพ่อ เลี้ยงดูลูกทั้งหมด ๕ คน ไปสร้างฐานะครอบครัวเอง จนได้รับความสำเร็จ ลูกๆ เรียนหนังสือเก่ง จนมีการงานที่มั่นคง มีอาชีพที่ได้รับการยกย่องทางสังคม ล้วนมาจากแม่ที่เป็นเสาหลักของบ้าน แต่ดูเหมือนแรงขับของแม่มีพลังมาก แทบทุกอย่างในบ้านต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแม่ จนบางครั้งดูเหมือนแม่ไม่มีคำว่าพอใจในสิ่งที่มีอยู่
หลายปีต่อมา เมื่อพ่อเริ่มเจ็บป่วย ลูกๆ ไม่กล้าบอกแม่ว่าพ่อป่วย แม้พ่อสิ้นลมไปแล้ว ลูกก็ยังไม่ได้บอกแม่ ด้วยความกังวลใจว่าแม่จะรู้สึกอย่างไร แม่เป็นคนที่มีทิฏฐิอยู่มาก และฝังใจเรื่องพ่อ ลูกไม่แน่ใจว่าแม่พร้อมที่จะให้อภัยพ่อหรือไม่ หรือจะกลายเป็นทำร้ายจิตใจแม่หากรู้ว่าลูกไปสนใจพ่อ แม่จะน้อยใจ เสียใจไหม แต่ลูกๆ อยากทำเพื่อแม่ ให้แม่ได้อโหสิกรรมให้พ่อ แม่จะได้ไม่มีเรื่องติดค้าง เมื่อวาระสุดท้ายมาถึงแม่จะได้นอนตายตาหลับ ปล่อยวางจากความโกรธ สู่ความสงบได้ ปัญหาของลูกก็คือจะบอกอย่างไร ในช่วงจัดงานศพให้พ่อ อาจจะปิดบังแม่ไม่ได้ เพราะลูกกลับดึก หน้าตาซึมเศร้า ถ้าแม่รู้จะรู้สึกอย่างไร เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่ก่อความทุกข์ใจแก่ลูก
ด้วยความบังเอิญที่ญาติๆ ทางพ่อโทรมาหาแม่ถามเรื่องจัดงานศพพ่อ เพราะคิดว่าแม่รู้จากลูกแล้ว แม่จึงรู้ความจริง วันนั้น จึงกลายเป็นโอกาสให้ลูกได้เปิดอกคุยกับแม่ว่าเพราะลูกมีความรักและห่วงใยแม่ แต่ก็อึดอัด เกรงใจแม่ ไม่รู้จะบอกแม่อย่างไร แคร์ความรู้สึกของแม่ แต่ลูกอยากจะให้แม่รู้การตายของพ่อ ปรารถนาให้แม่อโหสิกรรมแก่พ่อ เพื่อแม่เองจะได้มีความสุขสงบ ไม่ผูกใจอาฆาตพยาบาทพ่อต่อไป เพราะพ่อเองก็เปลี่ยนไปมาก มีชีวิตที่ลำบาก ลูกเล่าเรื่องราวของพ่อ ว่าพ่อไม่ได้มีความสุขหลังแยกทางกับแม่ พ่อต้องอยู่ตามลำพัง จากที่เคยอยู่อย่างคุณหนู ในฐานะลูกชายในครอบครัวจีน พ่อติดการพนัน เล่นม้า เที่ยวกลางคืน ไม่นานการค้าของตระกูลตกต่ำลง ไม่มีเงินให้พ่อไปใช้อย่างสุรุ่ยสุร่ายอีกต่อไป พ่อตกระกำลำบาก ฐานะตกต่ำ ไม่เคยใช้ชีวิตรับผิดชอบจริงจังทำงานการอะไร กลายเป็นต้องพึ่งตนเองให้อยู่ได้ พ่อเริ่มค่อยๆ ปรับตัว ใช้ชีวิตเรียบง่ายขึ้น จนแทบไม่ใช้จ่ายอะไรมากนักนอกจากของจำเป็น แม้แต่ไฟฟ้าก็เปิดน้อยมาก มีแค่ไหนใช้แค่นั้น ไม่เรียกร้องขออะไรแม้มีโอกาส หลังๆ พ่อกลายเป็นคนสมถะ สงบง่าย จึงเชื่อว่าพ่อน่าจะจากไปอย่างสงบได้เพราะผ่านการใช้ชีวิตแบบนี้ในบั้นปลายมาแล้ว
แม่ได้ฟังก็ทำใจได้ เพราะเห็นแก่ลูก และได้กำลังใจจากลูก นัยน์ตาเริ่มแดง เสียงสั่นเทา ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา พร้อมกับระบายความอัดอั้นตันใจของตนเอง เผยเรื่องราวในอดีตที่ติดค้างให้ลูกรับรู้ และให้อภัยพ่อแล้ว แม่พูดเสร็จ ดูผ่อนคลาย สีหน้าดูอ่อนโยนขึ้น เหมือนได้ยกสิ่งที่ติดค้างคาอยู่ในใจมานานหลายสิบปีออกไปจากอกวันนี้ พร้อมกับจิตใจเริ่มสงบ และยังส่งผลให้แม่เปลี่ยนมุมมองใหม่ ไม่จมกับอดีต หรือเห็นแต่ด้านไม่ดีของอีกฝ่าย และยังทำให้แม่ถอดใจ หันกลับมามองชีวิตตัวเองบ้าง เปลี่ยนทัศนคติจากสิ่งที่เคยยึดติดแบบอย่างคนจีนที่มีฐานะดีในเรื่องทำพิธีจัดงานศพ สั่งลูกว่าถ้าแม่ตายก็ให้เผา ไม่ต้องไปทำพิธีใหญ่โต ฝังสุสาน...หรือนี่จะเป็นอานิสงส์ของสามีก็ได้
ลูกๆ จึงรู้สึกโล่งโปร่งเบาในวันที่จัดงานศพให้พ่อที่วัด แม้แม่จะไม่ได้ไปร่วมงาน แต่แม่ได้ทำบุญและขออโหสิกรรมแล้ว
การสะสางสิ่งค้างคาใจ จะทำให้มีการให้อภัย การขออโหสิกรรม รวมไปถึงการขอบคุณ จะช่วยให้ทั้งผู้ป่วยและคนที่เกี่ยวข้องกับเขาได้ปลดเปลื้องสิ่งที่ติดค้างจากการกระทำในอดีตได้ ผู้ที่จากไปก็ได้ปล่อยวาง จากไปอย่างสงบ ผู้ที่ยังอยู่ก็สามารถดำเนินชีวิตต่อไปอย่างมีคุณภาพ ไม่รู้สึกติดปม ถ้าจะตายก็ปล่อยวางจากอคติที่เคยมีได้