Error message

  • Deprecated function: Methods with the same name as their class will not be constructors in a future version of PHP; views_display has a deprecated constructor in require_once() (line 3066 of /home/budnetorg/domains/budnet.org/public_html/sunset/includes/bootstrap.inc).
  • Deprecated function: The each() function is deprecated. This message will be suppressed on further calls in menu_set_active_trail() (line 2385 of /home/budnetorg/domains/budnet.org/public_html/sunset/includes/menu.inc).

ความตาย..ไม่มีอยู่จริง!

-A +A

 

มีคำกล่าวว่า "ร้อยคนก็ตายร้อยแบบ" ไม่ซ้ำกัน เพราะแต่ละคนมีเหตุปัจจัยของชีวิตแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อ วัฒนธรรม ฯลฯ การตายดีของชาวเขาย่อมแตกต่างจากชาวเมือง การทำความเข้าใจความเชื่อเรื่องการตายในแต่ละวัฒนธรรม ย่อมช่วยให้การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายเหมาะกับคนไข้แต่ละคนมากขึ้น

บราห์มา กุมารี มหาวิทยาลัยทางจิตของโลก เป็นสำนักความเชื่อหนึ่งที่ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาทางจิตวิญญาณเพื่อเข้าถึงแก่นแท้ของชีวิต ซึ่งเข้ามาสู่สังคมไทยนานกว่าสามสิบปีแล้ว มีผู้นับถือและฝึกฝนตามแนวทางสมาธิแบบราชาโยคะจำนวนไม่น้อย ควรที่ผู้สนใจเรื่องการฝึกฝนจิตใจและดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายควรเรียนรู้ไว้ โดยเฉพาะแนวคิดเรื่องชีวิตและความตาย เพื่อช่วยให้เราเข้าใจความหลากหลายของความเชื่อต่างๆ ในสังคมไทย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิต การปฏิสัมพันธ์ต่อกันด้วยความเข้าใจและมีเมตตา ตลอดจนการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายจำนวนไม่น้อยได้อีกด้วย

 

 

 

 

ความตาย..ไม่มีอยู่จริง!

 

“ทำไม...ความตายช่างน่ากลัวอะไรเช่นนี้” ผู้คนในสังคมต่างคิด! ภาพความรุนแรงสูญเสียชีวิตหลากหลายจากข่าวทีวีที่แย่งกันนำเสนอ ฉายซ้ำวันละหลายรอบและต่อเนื่องยาวนานจนเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ขาดไม่ได้ในการดึงดูดผู้ชมให้ติดหน้าจอ โดยหารู้ไม่ว่า ได้บ่มเพาะสังคมให้เกิดความเคยชินกับความรุนแรง ฉายภาพเสนอแนะสอนวิธีการสร้างความรุนแรง และอีกด้านก็ปลูกฝังความกลัวต่อความตายอย่างขีดสุดให้หยั่งรากลึกสู่จิตใต้สำนึกของมนุษย์

 

ย้อนเวลาโลกกลับไปกว่า 150 ปี เครือข่ายความเชื่อศรัทธาทางจิตของมนุษย์ในเรื่องธรรมชาติแห่งการเกิด การตายและคุณค่าของชีวิตที่ถูกวางรากฐานไว้งดงามยาวนานกว่า 3,000 ปี ได้เริ่มถูกท้ายทายอย่างรุนแรงด้วยเครือข่ายความเชื่อใหม่ทางตะวันตก ผ่านทฤษฎี ”วิวัฒนาการของมนุษย์” ที่มีสาระสำคัญว่าด้วย “มนุษย์ไม่แตกต่างอะไรจากสัตว์ สรรพชีวิตเกิดมาด้วยความบังเอิญตามการคัดสรรทางธรรมชาติทีละน้อยๆ ทุกชีวิตต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อมีชีวิตรอด ผู้ที่เข้มแข็งกว่าจึงควรค่าต่อการสืบสายพันธุ์ต่อไป” ความเชื่อนี้ถูกส่งต่อให้เข้มแข็งผ่านทฤษฎีของนักวิทยาศาสตร์รุ่นถัดมา รวมทั้งพลังของสื่อมวลชน ภาพยนตร์ โทรทัศน์ ข่าวสาร สิ่งพิมพ์ ฯลฯ ช่วยกันแพร่กระจายแนวคิดให้เข้มแข็งและช่วยกันทำลายโครงสร้างความเชื่อศรัทธาเก่าด้านจิตวิญญาณให้ล้มครืนลง ก่อเกิดความจริงรูปแบบใหม่ขึ้นในจิตใจที่ตีค่าชีวิตมนุษย์เป็นเพียงการเกิดโดยบังเอิญ การฉายภาพความตายที่น่ากลัวน่ารันทดผ่านสื่อหลัก ความตายที่ทำให้มนุษย์หมดซึ่งโอกาสในการครอบครองทรัพย์สินที่หามา หมดโอกาสพบเจอผู้คนอันเป็นที่รัก ขณะตัวเอกกลายเป็นฮีโร่ที่สามารถทำให้ผู้อื่นตายและเป็นผู้มีชัยครอบครองทุกสิ่งอย่างมีความสุข ดังนั้น “ความตาย” จึงกลายเป็นสิ่งที่มากกว่าความน่ากลัวของมนุษย์ มันคือความพ่ายแพ้สิ้นสภาพการครอบครองของผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่อยากพบเจอ และจักดิ้นรนขัดขืนทุกทางเพื่อให้รอดจากมัน นั่นเพราะความเชื่อเรื่องการมีชีวิตเดียว (one life) ที่สอนให้เราต่อสู้แย่งชิงทำร้ายกันโดยไม่ต้องเกรงกลัวบาปหรือรับผิดชอบต่อชาติภพใดๆ ความเชื่อที่เบี่ยงเบนนี้ได้สร้างความกลัวเกาะกินอยู่ในจิตของทุกคน กลายเป็นความยึดติดกับร่างกายและเมินเฉยต่อแก่นสำคัญของชีวิตจนหมดสิ้น

 

แล้วความจริง “ความตาย” คือสิ่งใดกัน ปรัชญาความเชื่อตะวันออกอันล้ำลึกสั่งสมยาวนานกว่า 3,000 ปี จากคัมภีร์กีตะ (Gita) ที่ปรากฏหลักฐานคำสอนอันเป็นเสาหลักทางจิตวิญญาณเก่าแก่ที่สุดในดินแดนภารตะ คัมภีร์อันเป็นรากฐานของศาสนาพราหมณ์ ฮินดูและศาสนาอื่นๆ ในโลกที่นำเอาสาระหลักไปประยุกต์ปรับใช้ รวมถึงเป็นแก่นของศาสนาพุทธด้วยเช่นกัน คัมภีร์กีตะโบราณที่ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นผู้รจนาได้ชี้ทางเตือนสติเปิดดวงตาแห่งธรรมแก่มนุษย์ว่า “ผู้ที่ตื่นรู้ตระหนักได้ว่า ดวงวิญญาณไม่เคยเกิด ไม่เคยตาย ไม่กลับมาเป็นหรือหยุดที่จะเป็น เป็นอมตะมั่นคงถาวร มิอาจถูกฆ่าแม้ร่างกายที่อาศัยอยู่จะถูกฆ่าก็ตาม ดวงวิญญาณไม่อาจถูกตัดแยกออก ไม่สามารถถูกไฟเผาให้ไหม้ ไม่เคยเปียกหรือแห้ง ดวงวิญญาณเป็นอมตะ ส่งกระแสแผ่ซ่านไปทั่วจักรวาล ไม่มีเปลี่ยนแปลงคงสภาพยั่งยืนอยู่ชั่วนิรันดร์

 

ความทุกข์ ด้วยข้อสัจจะความจริงเกี่ยวกับโลกที่ว่า ทุกสรรพสิ่งล้วนประกอบขึ้นจากธาตุทั้งห้า คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟและอากาศธาตุ ภายใต้โลกแห่งวัตถุนี้ สรรพสิ่งต่างๆ ล้วนเปลี่ยนแปลงไม่มั่นคง ความเปลี่ยนแปลงจึงถือเป็นสัจธรรม ดังนั้น การใช้ชีวิตให้หลุดพ้นจากทุกข์ ก็คือการไม่เอาใจไปยึดติดกับสรรพสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่มั่นคงทั้งหลาย อีกทั้งสอนให้ตระหนักรู้ถึงตัวตนที่แท้จริง ทำให้เราทะลุออกจากม่านหมอกแห่งอวิชชาที่บดบังไว้ว่า ชีวิตคือการประสานระหว่างกาย (body) และวิญญาณ (soul) แต่วิญญาณไม่ใช่ร่างกาย! วิญญาณนับเป็นสิ่งที่สูงกว่ากายหยาบ แต่กระนั้นวิญญาณก็ขาดร่างกายเพื่อเล่นบทบาทไม่ได้เช่นกัน

 

เป็นแก่นของชีวิตว่า เราคือดวงวิญญาณ (Soul) เป็นจุดแสงที่ละเอียดอ่อนและเป็นอมตะ ธรรมชาติดั้งเดิมของเราคือความสงบสันติ ดวงวิญญาณเป็นแก่นชีวิตที่ขับเคลื่อนกรรมและบันทึกกรรมต่างๆ ด้วยตัวของเราเอง ผ่านความคิด คำพูดและการกระทำในทุกวินาทีของชีวิต หากเปรียบร่างกายของเราเป็นดั่งเช่นเสื้อผ้า วิญญาณก็เป็นผู้ที่สวมใส่เสื้อผ้านั้น เมื่อถึงเวลาที่เสื้อผ้าเก่าเสื่อมสภาพลง เราก็เพียงถอดทิ้งแล้วไปสวมชุดใหม่ วิญญาณอาศัยอยู่ในร่างกายเพื่อเล่นบทบาทเพื่อเรียนรู้สิ่งดีเลวและพัฒนาจิตให้สูงขึ้น เมื่อบทบาทร่างเก่าหมดลงก็เดินทางไปใช้ร่างถัดไปตามแรงกรรมที่ดวงวิญญาณนั้นสะสมไว้ในอดีต เป็นไปตามกฎของการกระทำ (Law of Karma) ตราบเท่าที่ดวงวิญญาณยังต้องอาศัยอยู่ในโลกกายหยาบนี้ และมนุษย์ต้องมีความรู้ถึงนัยสำคัญในความเชื่อมโยงของจักรวาลหรือโลกทั้งสามและรู้จักธรรมชาติของดวงวิญญาณสูงสุด ว่าสัมพันธ์ต่อสรรพสิ่งและหล่อเลี้ยงธาตุบนโลกนี้เช่นไร รวมถึงรู้วิธีการที่จะดึงพลังของดวงวิญญาณสูงสุดผู้อยู่เหนือจักรวาลมาชำระดวงวิญญาณของตนให้หลุดพ้นจากความทุกข์ในชีวิตได้อย่างไร

 

มนุษย์ต้องมีความรู้ว่า เวลาของโลกนี้ไม่ได้เดินเป็นเส้นตรงแบบที่หาจุดจบไม่ได้ อย่างที่นักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ตั้งทฤษฏีขึ้น แต่ความจริง เวลาของโลกหมุนวนเป็นวงจรโดย 1 รอบจะมีระยะเวลา 5,000 ปี เมื่อเวลาเดินทางครบรอบแล้ว ก็จะเกิดการเริ่มต้นใหม่ (1รอบนับเป็น 1 กัลป) ในหนึ่งรอบจะประกอบด้วยยุค 4 ยุคคือ ยุคทอง ยุคเงิน ยุคทองแดง และยุคเหล็ก (กลียุค-ยุคแห่งการตกต่ำที่สุดและต้องทำลายล้างเพื่อเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง) ดังที่เราเห็นเครื่องหมายสวัสดิกะซ่อนตัวแอบแฝงอยู่ในหลายศาสนาหลายความเชื่อทั่วโลก นั่นคือสัญลักษณ์ที่แสดงปริศนาธรรมจากอดีตกาลเกือบ 5,000 ปีเพื่อจะบอกถึงยุค 4 ยุคที่หมุนวนเป็นวัฏจักร แต่ผู้คนในปัจจุบันน้อยนักจะเปิดใจรับความจริงของวงจรละครโลกนี้

 

แต่ถึงกระนั้น เพียงแค่เราตระหนักรู้ได้อย่างแท้จริงว่า “ฉันคือดวงวิญญาณ (I a Soul) เป็นจุดแสงที่แสนละเอียดอ่อนมิอาจมองเห็นด้วยตาหยาบ ฉันนั่งอยู่ภายในกึ่งกลางระหว่างคิ้วของร่างกายนี้ เป็นอมตะไม่เคยตายมาก่อน ฉันดวงวิญญาณควบคุมและเล่นบทบาทจากร่างหนึ่งไปสู่อีกร่างหนึ่งทั้งหญิงและชายสลับไปมาหลายภพชาติ ฉันเดินทางผ่านกาลเวลาและแสดงบทบาทในวงจรละครโลกอย่างสนุกสนานมาหลายกัลป นับจากจุดเริ่มต้นยุคทองสู่ยุคสุดท้ายคือยุคเหล็ก ละครนั้นซ้ำรอยเดิมทุกประการ

 

เมื่อใดที่เราตระหนักถึงสัจจะข้อนี้ได้ เมื่อนั้น “ความตาย จึงไม่มีอยู่จริง! เหมือนบางท่อนบางตอนอันลึกซึ้งของคัมภีร์กีตะ ที่พระฤกษณะได้สอนอรชุนขณะมีใจหวาดหวั่นลังเลอยู่บนรถศึกขณะจะรบว่า “โอ้ อรชุนา ดวงวิญญาณที่สถิตอยู่ในร่างกายของทุกสรรพสิ่งนั้น เป็นอมตะ ไม่สามารถถูกฆ่าให้ตายได้ ดังนั้น ท่านไม่ควรจะเศร้าโศกสลดใจให้กับสรรพสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นเป็นชีวิตใดๆ”

 

 อิทธิ์ พรหมศร

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม: www.newlotus.org

บราห์มา กุมารี มหาวิทยาลัยทางจิตของโลก ศูนย์นิวโลตัส 089-1082037

 

 

 

 

คอลัมน์:

ผู้เขียน: