Error message

  • Deprecated function: Methods with the same name as their class will not be constructors in a future version of PHP; views_display has a deprecated constructor in require_once() (line 3066 of /home/budnetorg/domains/budnet.org/public_html/sunset/includes/bootstrap.inc).
  • Deprecated function: The each() function is deprecated. This message will be suppressed on further calls in menu_set_active_trail() (line 2385 of /home/budnetorg/domains/budnet.org/public_html/sunset/includes/menu.inc).

ของแถมล้ำค่าจากความตาย

-A +A

          แม้ชีวิตจะเคยผ่านเหตุการณ์เฉียดตายมาถึง ๕ ครั้งติดๆ ในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปี ตั้งแต่ขับรถไปติดคาอยู่บนรางรถไฟจนเกือบจะถูกรถไฟชน พลัดตกลงมาจากที่สูง ขับรถแฉลบน้ำขังบนถนนจนไปชนกับรถคันอื่น กระทั่งถูกลอบยิงห้องนอนด้วยปืนอาก้าถึง ๒๒ นัด และถูกแขนรถแมคโครตักดินเหวี่ยงเฉี่ยวศีรษะไปอย่างเฉียดฉิวรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดที่สุด แต่นั่นไม่ได้ทำให้ คุณวิเชียร  เจษฎากานต์ รองประธานมูลนิธิกระต่ายในดวงจันทร์ เข้าใจหรือตระหนักถึงความหมายของความตาย จนกระทั่งประสบอุบัติเหตุอีกครั้งจนเรียกว่าได้ตายไปแล้วจริงๆ ความคิดและชีวิตจึงเปลี่ยนไป

          “ตอนนั้นผมขับรถจะไปราชบุรี เท่าที่ฟังจากคนมูลนิธิที่มาช่วยผม เขาบอกว่าผมเบรกแล้วรถแฉลบเสียหลักไปชนกับแท่นปูนขนาดใหญ่ เป็นตอม่อของการไฟฟ้าใหญ่มากๆ รถเสียหายและผมติดอยู่ในรถ เขาเล่าให้ฟังว่า ตอนช่วยออกมาผมไม่หายใจแล้ว แต่ยังสดอยู่ เขาเลยปั๊มหัวใจ ใช้เครื่องช่วยหายใจครอบแล้วก็ปั๊มหัวใจไปเรื่อย แล้วก็วิ่งมาที่ราชบุรี ผมมาหายใจได้อีกครั้งก่อนถึงราชบุรีนิดหน่อย เขาเลยรีบส่งโรงพยาบาล โชคดีอีกว่าคุณหมอเขาเพิ่งผ่าตัด เป็นคุณหมอผ่าตัดสมองโดยเฉพาะของโรงพยาบาลราชบุรี เพิ่งผ่าตัดเสร็จ สามารถรับผ่าตัดได้เลย ผมก็เลยรอดแบบอาการยังครบ คือสมองเลือดออก คิดว่าน่าจะไม่ได้เสียหายอะไรมาก เพียงแต่เลือดออกและเกิดเลือดคั่ง พอเอาเลือดออกได้ทันเลยไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่อาการข้างเคียงคือขี้ลืมแบบรุนแรง ถ้าไม่จดจ่อจริงๆ หรือระวังจริงๆ ก็จะลืมไปเลย เมื่อฟื้นขึ้นมาก็จะคุยแบบปกติได้ แต่พอนอนหลับก็จะลืมหมดทุกอย่าง อาการนี้เป็นอยู่ประมาณเดือนหนึ่งก็เริ่มกลับมาปกติมากขึ้น แต่ก็ยังขี้ลืม คิดว่านั่นเป็นครั้งที่เฉียดตายมากที่สุด ก็คือตายแล้ว เพียงแต่ว่ากลไกในร่างกายยังไม่ถูกทำลายและยังกลับมาได้ ช่วงนั้นอายุประมาณ ๓๐ ปี

          “ความเปลี่ยนแปลงหลังจากฟื้นขึ้นมาคือ เรามีความรู้สึกว่าเราตายแล้ว ตอนนี้ที่ยังมีชีวิตอยู่น่าจะเป็นของแถม คือเป็นอะไรที่ได้เกินจากสิทธิ์ตัวเองแล้ว ก็เลยคิดว่าถ้าเราตายไปก็จบ เหมือนมดตัวหนึ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วก็มีคนเดินเหยียบพอดี แล้วก็ตายไป ชีวิตก็จบแค่นั้น เหมือนว่าไม่มีความหมายในโลกนี้เลย ก็เกิดความรู้สึกว่า ในเวลาที่เขาแถมให้ เราน่าจะทำอะไรที่มีความหมายมากกว่านี้ อย่างน้อยถ้าตายไปก็ยังมีคนพูดถึง ดีกว่าที่หายไปจากโลกนี้แล้วก็เหมือนมดตัวหนึ่งเท่านั้นเอง ก็เลยเกิดความรู้สึกว่าเราน่าจะทำอะไรบ้าง แต่ตอนนั้นก็ยังคิดไม่ออกว่าเราจะทำอะไรได้ เพราะว่าวัฒนธรรมครอบครัวเป็นคนจีนที่คุ้นเคยแต่เรื่องการทำมาหากิน

          “ตั้งแต่นั้นมาก็เริ่มคิด แต่ก็ยังทำอะไรไม่ได้มากเนื่องจากว่าไม่มีความคุ้นเคยกับเรื่องที่เป็นสาธารณประโยชน์ แต่บังเอิญไปเที่ยวป่าที่สวนผึ้ง ก็ขึ้นเขา เนื่องจากมีคนแนะนำว่ามีคนคนหนึ่ง (คุณชาญชัย พินทุเสน) เขาอยู่บนเขา แล้วเขาทิ้งทั้งชีวิตเลยเพื่อที่จะดูแลป่าที่นั่น ก็ไปเจอแล้วก็ไปพูดคุย แล้วก็เห็นว่าเขาทิ้งทั้งชีวิต ทิ้งความสะดวกสบาย ทิ้งอนาคตโดยไม่กลัวว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรเพื่อดูแลป่าที่นั่นให้อยู่รอด เอาเงินทั้งหมดของตัวเองมาลงที่นั่น ถามว่าเดิมทีเขามีฐานะไหม มี เขามีอาชีพที่ดีไหม ดี เขาเคยเป็นผู้จัดการถ่ายหนังโฆษณาของแกรมมี่ เป็นผู้กำกับด้วย แต่เขามาเที่ยวป่าที่นั่นแล้วเขารู้สึกว่ามันน่าเสียดายถ้าจะถูกทำลาย เขาก็เลยพยายามที่จะรักษาไว้ พอไปเจอปุ๊บก็รู้สึกว่า ขนาดเขาต้องทุ่มเทขนาดนี้ แล้วไม่ได้ทำเพื่อตัวเองด้วย ทำเพื่อคนอื่น และจังหวัดราชบุรีก็เป็นจังหวัดผม เขาเป็นคนโคราชเขายังทำได้เลย ก็เลยเกิดความรู้สึกว่าเราก็น่าจะทำอะไรได้บ้าง ผมว่ามันเหมือนเทียน เทียนของเราเป็นเทียนเล็กๆ จุดแล้วบางทีลมพัดมาก็ดับ ไม่ได้ไปถึงไหน แต่เขาเป็นกองไฟ ก็เลยคิดว่าเขายังทำได้ ทำไมเราจะทำไม่ได้ ตั้งแต่นั้นมาเราก็เลยมาช่วยกัน ถือโอกาสว่าใช้ตรงนั้นเป็นจุดเปลี่ยน ก็ช่วยเขาหลายเรื่องทั้งดูแลไฟป่าทั้งดูแลคน แล้วก็เข้าไปสอนเด็กที่โรงเรียนที่นั่น ไปพูดคุยกับเด็ก ไปขออนุญาตเขาทำกิจกรรมกับเด็ก ก็เลยเริ่มมีกิจกรรมต่างๆ มาเรื่อย จนสุดท้ายมีเหตุให้ต้องตั้งเป็นมูลนิธิกระต่ายในดวงจันทร์

          “พอมาทำงานกับคนอื่นแล้วรู้สึกว่าทำเล่นไม่ได้ ทำแล้วหยุดตามอารมณ์ไม่ได้ มันต้องมีเป้าหมายที่จะให้สำเร็จจริงๆ ถึงแม้เป้าหมายจะไกลมากหรือไม่มีทางสำเร็จได้ก็ต้องทำ โดยเฉพาะเราทำกับเด็ก เราเห็นว่าเด็กเป็นหัวใจสำคัญที่จะต้องปลูกฝังให้เขา อันดับแรกคือเรื่องธรรมชาติ ปลูกฝังให้เขามีจิตสำนึกในการที่จะรักษาธรรมชาติไว้ ให้เขาเห็นว่าทำไมจะต้องรักษา แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วแค่นั้นไม่พอ เพราะว่าการที่จะทำให้เขามีวิธีคิดที่จะอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นคนดี หรือเป็นเครื่องจักรดีๆ ในสังคม เป็นเรื่องสำคัญกว่าที่จะรักษาป่าด้วยซ้ำ เพราะว่าถ้าคนไม่ดีป่าก็อยู่ไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าทำให้คนดีป่าก็อยู่ได้ 

          “พอเป็นมูลนิธิมีเป้าหมายชัดเจนและไม่ได้ล้มง่ายๆ แล้ว ซึ่งเมื่อก่อนเราสนุกเราก็ไป ไม่สนุกเราก็ไม่ไป ตอนหลังเราเห็นสายตาเด็ก การที่เราไปปลูกฝังแล้วให้ความหวังเขา เหมือนว่าไปให้อนาคตเขา แล้วเราหยุด สายตาที่เขามองเรา สายตาที่เขาฝากความหวังไว้ มันรู้สึกว่าเราหยุดไม่ได้ เพราะเหมือนกับเราไปโกหกเขา เหมือนเขาคิดดีทำดีแล้ว อ้าวพี่ไปแล้ว ก็เลยกลายเป็นว่าหยุดไม่ได้ ก็เลยต้องทำให้ตัวเองมีความสุขกับความลำบากในเรื่องนี้ให้ได้เท่านั้นเอง ถ้าทำตัวเองให้มีความสุขกับความลำบากตรงนี้ได้ก็จบ ตอนนี้พบแล้วว่าจริงๆ ไม่ได้ทำใจ แต่เป็นกลไกตามธรรมชาติเลยว่าเราทำแล้ว เราทำเต็มที่แล้ว เกิดผลสำเร็จ ผลสำเร็จนั้นทำให้เราสุขใจปีติขึ้นมา แล้วยิ่งเห็นเขามุ่งมั่นตั้งใจในแนวทางที่เราสอนด้วย แล้วก็มีคนมาร่วมมือมากขึ้นกับวิธีคิดของเรา และคนสนใจมากขึ้น พวกนี้เป็นปีติที่ทำให้เรามีความสุข ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องยากเย็นอะไรในการที่จะมีความสุขกับความลำบาก เหมือนเราออกกำลังกาย เหนื่อยนะฮะ เหนื่อยมากเลย แต่พอเหนื่อยเสร็จอาบน้ำเสร็จมันสบายตัวมากเลย เหมือนกับว่ามีความสุขกับความลำบาก

          “อันนี้จะถือว่าความตายช่วยหยิบยื่นความสุขที่แท้ให้ก็ได้ เพราะทำให้เรารู้ว่า ในช่วงที่ยังมีชีวิตมีค่ามาก และความตายก็เป็นเรื่องธรรมดา พอเรารู้และสัมผัสความตาย ทำให้เราไม่กลัวที่จะตาย ไม่กลัวในเส้นทางที่เราจะเดินไปถึงความตายแน่นอน พอไม่กลัวก็เลยรู้สึกว่า คุณค่าของคนไม่ได้อยู่แค่การหาเงิน คุณค่าของคนก่อนตายมีหลายๆ เรื่องที่เราจะต้องทำทิ้งไว้บนโลกนี้ ความสำเร็จในชีวิตคนเรา โดยส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าคือการทำมาหากิน มีเงินมีชื่อเสียงมีอำนาจ ซึ่งเราก็เข้าใจอยู่แค่นี้ เราถูกปลูกฝังมาด้วยซ้ำ แต่ถ้าว่าโดยตามจริงแล้ว ความสำเร็จในชีวิตมันคือการทำให้ตัวเองมีความสุข ดูแลและให้ความสุขตัวเองได้ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญเลย ขั้นที่สองที่จะทำให้ประสบความสำเร็จมากขึ้นไปอีก คือการดูแลและให้ความสุขกับคนรอบข้างที่เรารักได้ แต่ที่สำคัญที่หลายๆ คนไม่พยายามที่จะไปให้ถึงก็คือ การที่จะเข้าใจว่า ความสุขที่แท้จริงคือการที่ดูแลและให้ความสุขกับคนหมู่มากที่เราไม่รู้จักได้  ถ้าเราเปลี่ยนความคิดจากเดิมมาเป็นแบบนี้ เราจะมีความสุขขึ้นเยอะ แล้วก็จะรู้ว่า จะต้องทำอะไรที่ดี ไม่ใช่หาเงินอย่างเดียว มันก็จะลดการแก่งแย่ง ลดการเอาเปรียบอย่างมากมาย ถ้าวิธีคิดนี้ถูกปลูกฝัง 

          “ที่บอกว่าไม่กลัวตายเพราะเรารู้สึกว่าความตายเป็นเรื่องธรรมดา สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมดา อย่างแรกคือเราเสียชีวิตไปแล้ว ก็เลยรู้สึกว่าก็งั้นๆ แหละไม่มีอะไร แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกว่าความตายเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องที่ธรรมชาติที่สุด คือตอนที่ไปช่วยจัดการงานอาสาสมัครหลังเหตุการณ์สึนามิ ผมเห็นความตายอยู่ตรงหน้ามากมายมหาศาลที่วัดย่านยาวและที่วัดบางม่วง มีศพนอนตายติดๆๆๆ กันอยู่มหาศาล มันเยอะมากจนถ้าเราไม่คิดว่าเป็นแค่ก้อนเนื้อ เราจะฟุ้งซ่านมาก เราจะเกิดความกลัวเกิดอะไรมากมาย แต่พอเราเห็นเขาเป็นก้อนเนื้อแล้วก็เห็นเป็นเรื่องธรรมดาและเกิดอาการปลงอย่างไม่รู้ตัว สุดท้ายเราก็จะกลายเป็นก้อนเนื้อเหมือนกัน ก้อนเนื้อธรรมดาที่ไม่ได้มีคุณค่าอะไรเลย แล้วค่อยๆ สลายไปตามเวลาของมัน เวลาอันสั้นเสียด้วย แล้วคนคนนี้สลายไปแล้วมีอะไร ไม่มีอะไรเลย ที่จะเหลือคือเหลือชื่อและสิ่งที่เขาเคยทำไว้เท่านั้นเอง ก็เลยทำให้รู้สึกว่าความตายเป็นเรื่องทั้งธรรมดาและทั้งไม่มีความน่ากลัว แถมถ้าการตายของเราเป็นการตายอย่างสงบจะยิ่งเป็นคุณค่าในชีวิตที่คนคนหนึ่งควรเสาะแสวงหา เพราะว่าเป็นความสุขสุดท้ายในชีวิตที่ตายอย่างสงบ ตายอย่างมีความสุข นอนยิ้มตายตามเวลาของมัน นี่คือเป้าหมายที่เราอยากเป็น แล้วคนรอบข้างเราก็จะรู้สึกไม่เป็นทุกข์จากการที่เราตายด้วย เพราะว่าเราตายอย่างมีความสุข เขาก็จะรู้สึกไม่ได้สูญเสียอะไร และที่สำคัญเรายังคงอยู่ในใจเขา

          “ก่อนจะไปถึงความเข้าใจหรือความรู้สึกนั้น ระหว่างทางจะต้องเตรียมความเข้าใจของเราก่อน แล้วจะพัฒนาไปถึงความรู้สึกของเรา ทำให้เรารู้สึกไม่กลัว ความเข้าใจตรงนี้คือทำความเข้าใจธรรมชาติสิ่งมีชีวิต ธรรมชาติตัวเรา โดยเฉพาะหลักที่อยู่ในธรรมะ ธรรมะคือธรรมชาติที่จะบ่งบอกให้เราเข้าใจชีวิตว่า ทำไมเราต้องเป็นอย่างนี้ แล้วสุดท้ายเราก็เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น เราก็ต้องเข้าใจวิถีของมัน เมื่อเข้าใจแล้วจะทำให้เรามีความรู้สึกว่าก็เท่านั้นแหละ ก็ทำให้เราปล่อยวาง ไม่ทุกข์ร้อน ตอนนี้ ผมก็ทำอยู่ในทางนี้อยู่แล้ว แต่จริงๆ ก็ไม่ได้ใช้วิธีจดจ่อกับมันนะ ใช้วิธีให้มองว่าเรื่องตายเป็นเรื่องธรรมดา ที่สำคัญที่มากกว่าความตายคือ ณ เวลาที่เราทีชีวิตอยู่ ต้องทำให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง เพราะว่ามีโอกาสเดียวในชีวิต ไม่ใช้โอกาสนี้จะใช้โอกาสไหน ก็ทำให้ดีที่สุดในชีวิต.

 

คอลัมน์:

ผู้เขียน: