ผู้ฝึกว่ายน้ำ ก่อนเรือแตก
นี่เป็นเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งที่เฉียดตายมาแล้ว ๒ ครั้ง ครั้งแรกตอนอายุยี่สิบต้นๆ เพิ่งเป็นบัณฑิตมาหมาดๆ วันหนึ่งเกิดปวดท้องมาก จากปวดมวนๆ นานเข้าก็ปวดตุ๊บๆ บริเวณท้องด้านขวา เธอไปหาหมอด้วยความแน่ใจว่าเป็นไส้ติ่งอักแสบและเข้ารับการผ่าตัดทันที โดยไม่รู้ว่าคนที่เป็นโรคหอบหืดอย่างเธออาจตายได้หากดมยาสลบสุ่มสี่สุ่มห้า เมื่อตื่นมาอีกวันจึงรู้สึกตัวในห้องไอซียูและโดนเหล่าคุณหมอสวดหนึ่งรอบใหญ่ว่า ทำไมไม่บอกกันก่อน พวกเขาต้องช่วยชีวิตเธออย่างเร่งด่วนเพราะเกิดไม่หายใจหลังดมยาสลบ หญิงสาวรับฟัง รู้สึกผิดนิดหน่อย แต่ไม่คิดอะไรมาก เธอกลับบ้าน ใช้ชีวิตตามปกติ กิน ดื่ม เที่ยว ทำงาน ตียุงเมื่อโดนกัด หงุดหงิดเวลามีรถมาปาดหน้า โกหกในเรื่องที่คิดว่าจำเป็น ฯลฯ แค่ไม่ทำอะไรให้ใครเดือดร้อนก็น่าจะพอแล้ว
ครั้งที่สอง เกิดขึ้นขณะเธออายุ ๔๐ ปี เธอแต่งงาน มีสามีและลูก มันเริ่มจากเธอเกิดอาการแพ้สารบางตัวจากการไปทำสปา สิวจึงขึ้นเห่อทั่วใบหน้า เธอไปโรงพยาบาลและรับยาแก้อักแสบมาทานหลายตัว ตกกลางคืน ก็เข้านอน มารู้สึกตัวอีกครั้งตอนเที่ยงคืนกว่า คอแห้งผาก จะลุกขึ้นมาจิบน้ำ แต่จู่ๆ บ้านก็หมุน ใจก็สั่นอย่างรุนแรง ภาวะคล้ายหัวใจจะหยุดเต้น ร่างกายปั่นป่วนเหมือนคนหัวใจจะวาย แม้เธอไม่ได้ขยับตัวแม้แต่น้อย แต่เตียงนอนเบื้องล่างกลับชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ ขณะนั้น เธอรู้สึกตัวเต็มที่ และรู้ว่าหากขยับร่างกายเพียงองศาเดียว ลมหายใจอาจหยุด จิตอาจจะหลุดออกจากร่าง เธอไม่อาจขอความช่วยเหลือใดๆ จากสามีที่นอนหลับอยู่ไม่ห่างได้ ห้วงขณะที่ความตายกำลังมาเยือน เธอค่อยๆ เรียกสติที่ฝึกฝนมาประคับประคองสภาวะที่เกิดขึ้น ตามลมหายใจเข้าออกอย่างเบาๆ สลับกับนึกถึงบุญกุศลที่ทำมา
ทำเช่นนั้นไปได้สักพัก เธอก็ระลึกกุศลที่ครั้งหนึ่งเคยทำ วันหนึ่งขณะนั่งทานข้าวกับคุณแม่ เธอเห็นคุณยายท่านหนึ่งกำลังยืนจับหน้าอกและตาเหลือกอยู่ที่กระจกอีกด้านของร้าน เธอรีบวิ่งออกไปประคองคุณยายท่านนั้น หาที่ร่มๆ ให้นั่ง แล้วพูดคุยกัน คุณยายบอกว่ามาหาหลาน แต่บ้านปิด อีกทั้งยาที่กำลังอมใต้ลิ้นก็เป็นเม็ดสุดท้าย ด้วยความน้อยใจ สภาพร่างกายที่โรยรา ผสมกับยาที่กำลังหมดฤทธิ์ลง การมีใครสักคนเขามาประคองก็ทำให้ใจชื้น สุดท้าย หญิงสาวคนนี้ส่งคนยายขึ้นรถแท็กซี่ พร้อมช่วยค่ายาชุดสุดท้ายก่อนเข้ารับการผ่าตัดบายพาสหัวใจ
“คุณยายคงรู้สึกเหมือนเราตอนนี้” เธอคิด ทันใดก็มีลมดันจากช่องท้องจนรู้สึกอยากอาเจียน เธอถลันตัวไปที่ห้องน้ำซึ่งอยู่ไม่ไกลเตียงและอาเจียนอย่างรุนแรงเหมือนพยายามล้วงสิ่งที่อยู่ลึกๆ ไม่นานก็ปรากฏเป็นฟองขาวๆ ลอยที่คอห่าน เธอค่อยๆ รู้สึกดีขึ้น หลังจากนั้นต้องนอนพักอีกหลายวันเพื่อฟื้นฟูร่างกายของตนเอง
เรื่องเล่าว่าด้วยความตาย พาเรามาพบกับเธอ คุณพิม หรือ สิตางศุ์ เคิร์ทแลนด์ พี่สาวร่างเล็กอายุ ๔๑ ปี ซึ่งขณะนี้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์และจิตใจผ่องใสยิ่ง
จุดเปลี่ยนคือ ธรรมะของพระพุทธเจ้า
ในเหตุการณ์เฉียดตายสองครั้ง แม้ว่าเธอจะรอดพ้นมาได้เหมือนกัน แต่กลับแตกต่างกันมากในเชิงสภาวะจิตใจ ในวัย ๒๐ ต้นๆ เหตุการณ์นั้นไม่ได้สลักสำคัญอะไรนัก แต่ในวัย ๔๐ ปี ความตายครั้งที่สองหมายถึงการทดสอบครั้งใหญ่ สำหรับคนที่ปฏิบัติธรรม นี่คือข้อสอบใหญ่ว่าเมื่อเจอคลื่นพายุ เธอจะประคองตนให้ผ่านพ้นไปได้หรือไม่
จุดเปลี่ยนของชีวิตจึงหาใช่ความตาย แต่คือธรรมะของพระพุทธเจ้า ซึ่งเธอเริ่มสนใจศึกษาเมื่อ ๘ ปีก่อน ขณะนั้น ชีวิตเธอสมบูรณ์พร้อมไปเสียทุกอย่าง การงานดี ชีวิตแต่งงานดี สามีตามใจ อยากได้อะไรได้ อยากทำอะไรทำ อยากไปเที่ยวไหนก็ไปได้ทุกที่ เบิกบานกับการดื่มเบียร์วันละครึ่งลัง จนเพื่อนให้ชื่อเล่นว่า “ลำยอง” แต่แล้ววันหนึ่ง เธอกลับรู้สึกว่าความสุขและความสนุกแบบนี้เหมือนระเบิดเวลา เธอไม่อาจสุขอย่างนี้ไปได้ตลอดไป
“ตอนนั้นเรารู้สึกกลัวปนเบื่อ เป็นคู่ที่กินเหล้ากันทั้งคู่ ตอนแรกก็เฮฮา ตอนหลังก็ทะเลาะกัน มันก็วนเวียนอย่างนี้ตลอดเวลา เราก็คิดว่าต้องมีทางออกที่ไม่ใช่สุขอย่างนี้ มีคำถามว่าอะไรคือสุขแท้ ก็เลยพยายามหาคำตอบ”
เธอเริ่มสนใจอ่านหนังสือธรรมะมาตลอด จน ๒ ปีหลังจากนั้น ก็อยากปิดอบายเพื่อบรรลุธรรม จึงรักษาศีลอย่างเคร่งครัด โดยปวารณาตนว่าจะไม่แตะต้องเหล้าเบียร์ที่ชอบอีกต่อไป อีกทั้งยังปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์ท่านต่างๆ ทำให้ความสงสัยคลางแคลงใจค่อยๆ คลายลง เริ่มปฏิบัติได้ถูกทางมากขึ้น กลับไปปฏิบัติได้เองในชีวิตประจำวัน คือการตามลมหายใจ การตามรู้สภาวะเฉยๆ จากที่เห็นไฟแดงแล้วหงุดหงิดก็ยินดีที่ได้กลับมาตามลมหายใจ ก่อนนอนก็มรณานุสติทุกคืน สะสมเช่นนี้ไปทุกๆ วัน
“ฉะนั้น หากเอาตังค์มาวางตรงหน้า ๑,๐๐๐ ล้าน เพื่อให้พี่กลับไปมีจิตดวงเดิม พี่ไม่เอา เพราะตังค์ไม่ได้ทำให้มีความสุข จิตดวงนี้ต่างหากที่ทำให้สุขหรือทุกข์ จะมีตังค์มากเท่าไหร่หรือได้เป็นเจ้าจอมจักรพรรดิที่สั่งการได้ทุกอย่าง แต่ถ้ายังมีจิตดวงเดิม อย่างไรก็ทุกข์”
อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านวิกฤตครั้งนั้น เธอพบว่าจิตฉลาดมากขึ้น เพราะได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง ทำให้ทุกข์จากความคิดหายไปรวดเร็ว จิตอยู่กับปัจจุบันขณะได้ง่ายขึ้น สบายขึ้น หากโกรธหรือกังวลก็เป็นไม่นาน อย่างเช่นตอนนี้ สามีของเธอเพิ่งอุปสมบทไปไม่กี่สัปดาห์ที่แล้ว และกำลังเดินธุดงค์ในป่า หากเป็นเมื่อก่อนเธอคงเป็นห่วงและคิดถึงมาก เพราะเคยอยู่กับสามีตลอดเวลา แต่ทุกวันนี้ เธอกลับไม่ทุกข์ใจ ไม่ใช่ไม่รัก แต่จิตดวงนี้ไม่คิดวนเวียนกับเรื่องเดิมๆ อีกต่อไป เพราะจิตได้เรียนรู้แล้วว่า “อยู่กับปัจจุบัน” จะไม่ทุกข์
ประโยชน์ของความตาย
หากถามว่าเหตุการณ์วันนั้นมาเพื่อบอกอะไรแก่เธอ พิมตอบทันที่ว่ามันทำให้เธอเห็นชัดว่า ต้องฝึกว่ายน้ำก่อนเรือแตก เพราะคิดจะว่ายน้ำเป็นตอนเรือแตกนั่นเป็นไปไม่ได้ แม้เธอจะเคยฝึกว่ายน้ำมาบ้าง แต่เมื่อเผชิญเหตุการณ์จริงก็รับรู้ได้เลยว่าไม่ง่าย สภาวะที่จิตใกล้หลุดออกจากร่างนั้นน่ากลัวเกินกว่าเราจะจินตนาการและอธิบายได้
“คนส่วนใหญ่ก็จะรอแก่ก่อนค่อยปฏิบัติ ตอนนี้งานมันยุ่ง แต่เหตุการณ์แบบนี้บางทีก็ไม่รอเราแก่เหมือนที่เราเจอ เพราะฉะนั้น ถ้าได้รับข้อความนี้แล้ว ได้โปรดทำเลย ฝึกเลยและเป็นประจำ พอถึงช่วงวิกฤต มันจะกลับมาช่วยเรา แต่ถ้าไม่มีสติ มันจะตกใจ ทุรนทุราย พยายามยื้อให้ตนเองพ้นจากความตายซึ่งทำให้แย่ลง”
นอกจากนี้ เธอยังพบว่าการพูดและการคิดถึงความตายนั้นเป็นประโยชน์ เพราะช่วยเตือนตัวเองไม่ให้ประมาท หลังจากคุณพิมพ์รักษาศีลและปฏิบัตธรรม สามีของเธอเริ่มสนใจและแลกเปลี่ยนพูดคุยเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องความตาย แม้กับลูกของเธอซึ่งอายุเพียง ๖ ขวบ ยังค่อยๆ รู้จักและเข้าใจเรื่องความตายด้วย
“พระพุทธเจ้าท่านพูดเรื่องนี้มาตลอดว่า คิดถึงเรื่องความตายให้ถี่เข้าไว้ ทุกลมหายใจเข้าออกก็ยังได้ เพราะจะทำให้ไม่ประมาท วันหนึ่งเราก็ต้องตาย วันหนึ่งเราก็ต้องพลัดพราก แล้วเราจะหนีไปทำไม พี่สอนลูกตั้งแต่อายุ ๖ ขวบ มีคนบอกว่าทำไมสอนลูกเรื่องตายตั้งแต่เด็ก เพราะวันหนึ่งเขาจะต้องพลัดพรากจากของเล่น จากของรักของเขา ถ้ามันไม่ไปก่อนเรา เราก็ไปก่อนมัน อย่าไปคิดว่ามันเป็นเรื่องอัปมงคล มันเป็นเรื่องจริง ศาสนาพุทธสอนให้ยอมรับความจริง ไม่ได้สอนให้มองโลกในแง่ดี แม้ว่าตอนแรกๆ เขาจะร้องไห้บ้าง ประมาณว่า ไม่เอาไม่อยากให้มามี้ตาย ไม่อยากให้แดดดี้ตาย ก็ไม่เป็นไร ค่อยๆ เพราะตอนนี้เราคุยเรื่องตายได้แล้ว ทุกคนก็เฮฮา เหมือนคุยเรื่องปกติ”
ใช้ชีวิตอย่างไม่เสียดาย
หญิงสาวเบื้องหน้าบอกกับเราว่า ทุกวันนี้เธอใช้ชีวิตอย่างไม่มีอะไรเสียดาย เพราะทำอย่างดีแล้วในทุกปัจจุบันขณะ จิตใจจึงโล่งโปร่งสบายและพร้อมจะตายได้ทุกเมื่อ แน่นอนสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ปรากฎผ่านความคิด แต่ผ่านการปฏิบัติจนเป็นเนื้อเป็นตัว ทุกวันนี้เธอมีความสุขจากการอยู่ในปัจจุบัน แม้เมื่อก่อนจะหาความสุขจากการตามใจกิเลส ซึ่งเธอเปรียบเทียบว่าคล้ายคนชอบกินขนมหวาน แม้จะรู้ทั้งรู้ว่ากินเยอะๆ แล้วสิวจะขึ้น พุงจะยื่น โรคจะถามหา แต่ก็ห้ามไม่ได้ นี่เป็นความสุขที่นำทุกข์มาให้ในระยะยาว กลับกันกับความสุขจากการอยู่ในปัจจุบันที่เหมือนทานอาหารมังสวิรัติซึ่งปรุงมาแล้วอย่างดี รสชาติอาจไม่จี๊ดจ๊าด แต่กินได้นานและโปร่งโล่งสบาย
“พี่การันตีเลยว่า สุขแบบนี้สุขกว่า ไอ้สุขแบบเดิมเราสุขมาแล้ว แต่สุขแบบนี้ดีกว่า มั่นคงถาวรและไม่เป็นพิษเป็นภัย ตอนจะตายก็ไม่ทุรนทุราย เพราะเวลาเราต้องไป เราไปเองคนเดียว ใครก็ไปกับเราไม่ได้ นี่ขนาดจะตายในบ้านตัวเอง อยู่ในห้องนอนของตัวเองแท้ๆ ยังไม่สามารถเรียกใครมาดูใจได้ก่อนตายเลย ไม่มีโอกาสสั่งลาใครด้วยซ้ำ บางคนคิดว่าไหลตายนี่น่าจะดี แต่จริงๆ แล้วไม่เลย เพราะเรารู้สึกตัวตลอด แต่บอกใครไม่ได้ ฉะนั้น จึงอยากเตือนให้ทุกคนตระหนักว่า เราเตรียมตัวหรือยังถ้าเวลานั้นมาถึงจริงๆ”
เธอทิ้งท้ายการสนทนาด้วยนิทานชื่อ “ภรรยาทั้งสี่” ซึ่งได้ยินได้ฟังมาจากพระอาจารย์ของเธออีกที เรื่องมีอยู่ว่า ผู้ชายคนหนึ่งมีภรรยาสี่คน เขารักภรรยาคนที่ ๑ และ ๒ มาก ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ทำอะไรก็ทำให้กันตลอด ส่วนภรรยาคนที่ ๓ นั้นรักน้อยหน่อยจึงเจอกันเพียงอาทิตย์ละหน และภรรยาคนสุดท้ายแทบไม่ได้ไปหาเลย เนื่องจากเขาทำผิดและได้รับโทษประหาร ก่อนตายจึงขออนุญาตผู้คุมไปลาภรรยาทั้งสี่ของเขา เขามุ่งไปหาภรรยาคนแรกด้วยความรักและผูกพันมาก แต่พอเธอรู้ข่าว เธอตอบทันทีว่า “ถ้าพี่ตาย เราก็จบกันแค่นี้” เขาเสียใจมาก จึงไปหาภรรยาคนที่สอง คนที่สองบอกว่า “ถ้าพี่ไปตาย เดี๋ยวหนูจะมีใหม่” โอ้ หนักกว่าคนแรกอีก เขาก็ยิ่งเสียใจอีก พอไปหาภรรยาที่สาม เธอก็บอกว่า “อ้อเหรอ เดี๋ยวหนูไปส่งพี่ที่ลานประหาร เดี๋ยวหนูจะทำศพให้พี่” เขาจึงใจชื้นขึ้นมาหน่อย ขณะกำลังไปลานประหารก็นึกขึ้นได้ว่ายังมีอีกคน เมื่อพบภรรยาคนที่สี่ เธอก็บอกว่า “พี่จะตายเหรอ เดี๋ยวหนูไปด้วย”
ภรรยาทั้งสี่นั้นหากเปรียบเทียบกับวาระสุดท้ายของชีวิต ภรรยาคนแรกคือร่างกายของเรา ที่เมื่อเราตายแล้วก็ไม่สามารถใช้งานได้ต่อไป ภรรยาคนที่สองคือทรัพย์สมบัติ ที่เราเอาไปด้วยไม่ได้และกลายเป็นของคนอื่นโดยทันที ภรรยาที่สามคือญาติพี่น้อง ที่ทำได้แต่ไปส่งเรา ส่วนคนสุดท้ายนี่คือบุญและกรรมที่จะติดตามเราไปทุกภพทุกชาติ เป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยสนใจใคร่รักเท่าไหร่นัก
คำถามก่อนจากกันจึงคล้ายจะท้าทายและกระตุกถามเราๆ ท่านๆ ว่า เรากำลังสนใจหลงใหลในภรรยาคนไหนอยู่? เราจะจากไปกับภรรยาคนสุดท้ายด้วยใบหน้าแบบไหน?