บทเรียนจากการจากไปของหลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ
ในสังคมไทย พระอาจารย์ชื่อดังหลายๆ รูป มักถูกยื้อชีวิต ยืดความตายในระยะท้ายของชีวิต หลายรูปจากไปท่ามกลางความไม่สงบ เนื่องจากท่านสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ขั้นสูง อีกทั้งผู้ดูแลที่เป็นลูกศิษย์ลูกหาก็มักต้องการให้ท่านมีชีวิตอยู่ยืนยาวที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ถึงกระนั้น หลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ ผู้เป็นพระสงฆ์ที่ได้รับความเคารพนับถือมากที่สุดรูปหนึ่งของภาคอีสาน ก็สามารถก้าวผ่านอุปสรรคของการตายอย่างสงบข้อนี้มาได้อย่างน่าสนใจ การจากไปของท่านเมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๕๗ ได้สร้างความตื่นตัวในการเรียนรู้เรื่องการเผชิญความตายอย่างสงบในสังคมไทยไม่ใช่น้อย มีการจัดเวทีถอดบทเรียนจากการดูแลท่านในเวลาต่อมา คำถามคือ “ทำไมท่านจึงสามารถเผชิญความตายอย่างสงบ?”
หลังจากบทเรียนจากเวทีถอดบทเรียนเสร็จเรียบร้อยด้วยดี และถูกนำมาเรียบเรียงเป็นหนังสือ คืนสู่ธรรมชาติ วิถีสู่การตายอย่างสงบ : บทเรียนจากการดูแลหลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ แล้ว เมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา เครือข่ายพุทธิกาและสมาคมบริบาลผู้ป่วยระยะท้ายแห่งประเทศไทย จึงร่วมกันจัดเวทีสาธารณะในชื่อเดียวกัน ณ หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ กรุงเทพฯ
ในเวทีดังกล่าวมีการบันทึกเทปโทรทัศน์การสนทนากับพระสงฆ์และทีมแพทย์พยาบาลผู้ดูแล ตลอดจนลูกศิษย์และประชาชนผู้รับรู้การจากไปของท่าน เพื่อให้บทเรียนแก่สาธารณะว่า กรณีการจากไปอย่างสงบของหลวงพ่อคำเขียนเกิดขึ้นได้อย่างไร
ประเด็นสำคัญที่ทำให้หลวงพ่อจากไปอย่างสงบที่แลกเปลี่ยนพูดคุยกันในเวทีมีดังนี้
๑. ท่าทีที่อ่อนโยนต่อความตาย หลวงพ่อฝึกฝนการเจริญสติ จนรู้เท่าทันต่อความจริงของชีวิตและธรรมชาติ คำสอนของท่านคือ “ไม่เป็นอะไรกับอะไร” ทำให้ท่านดูเบิกบานแม้จะเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งหลอดอาหาร ความว่างจาก “ความเป็นอะไรต่ออะไร” ทำให้ท่านว่างจากความตายด้วย ท่านปฏิเสธที่จะรักษาตัวในโรงพยาบาลในช่วงสุดท้ายของชีวิต แต่เลือกที่จะกลับรักษาตัวอยู่ที่วัด ท่ามกลางธรรมชาติและลูกศิษย์อันเป็นที่รัก และโอบรับความตายด้วยใจสงบ ท่านเขียนข้อความสุดท้ายว่า “พวกเรา ขอให้หลวงพ่อตาย”
๒. การแสดงเจตนาที่ชัดเจนในการเลือกวิธีการรักษา หลวงพ่อเป็นผู้ป่วยที่ผ่านกระบวนการวางแผนการดูแลรักษาตนเองล่วงหน้า (Advance Care Plan) และ หนังสือแสดงเจตนาเลือกวิธีการรักษา (Advance Directive) อย่างครบถ้วน ท่านเขียนเอกสารแสดงเจตนาอย่างชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษรในระหว่างเจ็บป่วย ที่สำคัญได้แก่ ขอให้ท่านได้กลับวัด ปฏิเสธการยื้อชีวิต การจัดการเกี่ยวกับศพ เครื่องอัฐบริขาร และลิขสิทธิ์คำสอนของท่าน
เจตนาของท่านก็เป็นที่รับรู้กันทั่วไปในหมู่ศิษย์และชาวบ้าน ความปรารถนาของท่านจึงได้รับความคุ้มครองโดยทีมผู้ดูแลและบุคลากรการแพทย์ ตลอดกระบวนการรักษา
๓. ทีมผู้ดูแลที่มีความรู้ความเข้าใจ หลวงพ่อมีลูกศิษย์ทั้งพระสงฆ์และฆราวาส ตลอดจนทีมแพทย์พยาบาลที่ปวารณาตัวผลัดเปลี่ยนกันมาเยี่ยม มาให้การดูแล โดยมีหน้าที่ถวายการรักษา คัดเลือกวิธีการดูแลที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของท่าน ตลอดจนเป็นกันชน อธิบาย คัดกรองญาติโยมที่มาเยี่ยมให้สอดคล้องกับสภาพร่างกายของหลวงพ่อ ทีมดังกล่าวมีขนาดพอเหมาะคือ ประมาณ ๔-๕ คน คอยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันดูแล
๔. ความพร้อมของระบบบริการดูแลที่บ้านของหน่วย Palliative Care ในท้องถิ่น วัดภูเขาทองและวัดป่าสุคะโต ซึ่งหลวงพ่อใช้ชีวิตในช่วงท้าย อยู่ในจังหวัดชัยภูมิ ซึ่งมีโรงพยาบาลที่มีหน่วยบริการ Palliative Care เข้มแข้ง มีบุคลากรที่มีความรู้และทักษะในการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายสูง เข้าใจเจตนารมณ์ของหลวงพ่อ และมีระบบสนับสนุนอุปกรณ์การรักษาที่บ้าน ตลอดจนทีมพระผู้ดูแลเองก็เข้าใจแนวทางการดูแลแบบประคับประคอง
องค์กระกอบ ๔ ประการข้างต้น จึงช่วยให้หลวงพ่อสามารถใช้เวลาช่วงท้ายของชีวิตที่วัดได้อย่างมีความสุข และจากไปอย่างสงบ ความตายของท่านยังเป็นธรรมะที่สอนญาติโยมให้ใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท อีกทั้งย้ำเตือนว่าชีวิตที่ดีเชื่อมโยงกับการตายดีอย่างแนบแน่น การตายดีจะเป็นไปได้จริงก็ด้วยการมีสติรู้เท่าทันความจริงของชีวิต และการเข้าถึงระบบบริการที่ยอมรับความตายตามธรรมชาติและเคารพเจตนารมณ์ของผู้ป่วย ดังเช่น Palliative Care ซึ่งแนวทางดังกล่าวกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาระบบให้เข้มแข็งอยู่ในปัจจุบัน