Error message

Deprecated function: The each() function is deprecated. This message will be suppressed on further calls in menu_set_active_trail() (line 2385 of /home/budnetorg/domains/budnet.org/public_html/sunset/includes/menu.inc).

ภารกิจศักดิ์สิทธิ์ในการดูแลผู้ตาย ควรเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

-A +A

            ในวัฒนธรรมหมู่บ้านของชาวกวางตุ้ง จะมีกลุ่มนักจัดการศพที่เรียกว่า กินโจงโหลว (ng jong lo : 件葬佬) เมื่อเกิดการตายขึ้น กินโจงโหลวจะไปที่บ้านของผู้สูญเสียเพื่อชำระร่างกายศพและนำใส่โลง พวกเขาเป็น "ผีที่ยังมีชีวิต" สกปรก และชาวบ้านหวาดกลัว เมื่อพวกเขาเดินผ่านหมู่บ้าน ชาวบ้านจะปิดประตูหน้าต่าง ไม่มีใครแม้แต่นักบวชที่จะให้ของหรือคุยกับพวกเขาโดยตรง เด็กๆ จะถูกกันออกห่างจากนักจัดการศพเหล่านี้ ผู้เชื่อว่าการเคี้ยวกระเทียมจะช่วยปกปิดกลิ่นเหม็นของศพและช่วยให้การทำงานอันแปลกประหลาดนี้มีความสุข แบบแผนประเพณีดังกล่าว ทำให้นักจัดการศพจำนวนมากซึ่งอยู่ร่วมกันหลังร้านขายโลงเสพติดฝิ่น และมีแต่ผู้ชายที่ทำงานอันต่ำต้อยด้อยค่าเช่นนี้

            ตลอดหลายปีที่ผมทำงานกับศพในสหรัฐอเมริกา เท่าที่ผมรู้ ไม่มีใครพาลูกๆ ไปซ่อนตอนที่ผมเดินผ่าน แต่ความกลัวต่อนักจัดการศพไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะหมู่บ้านในชนบทที่ห่างไกลเท่านั้น ชาวตะวันตกยุคใหม่คือแชมป์โลกในเรื่องการปฏิเสธความตาย คนที่ทำงานกับศพจะอยู่นอกบรรทัดฐานสังคมไปโดยอัตโนมัติ ทิม แมตสัน นักเขียนผู้เดินทางไปสัมภาษณ์คนทำอาชีพเกี่ยวกับความตายทั่วโลก ยอมรับว่าเขาจินตนาการไม่ออกว่าต้องได้เงินมากแค่ไหนถึงจะดึงดูดให้ตัวเองมาทำงานเกี่ยวกับศพได้ "แม้กระทั่งในสังคมอเมริกาที่มีความระมัดระวังต่อการพูดถึงเรื่องที่อ่อนไหวและถูกทึกทักว่ามีใจกว้างต่อทุกคน แต่เรื่องนี้เป็นอคติที่ผมกับผู้คนจำนวนมากมีร่วมกัน" ทิมบอกว่า สัปเหร่อเป็นกลุ่มคนที่ "พวกเราอนุญาตให้ตัวเองดูถูกเหยียดหยามได้"

            ถึงแม้ว่าเราจะดูถูกสัปเหร่อ แต่พวกเรารู้ว่าทำไมจึงต้องการพวกเขา เมื่อสามีของคุณ แม่ของคุณ หรือลูกๆ ของคุณตาย มีเหตุผลที่ชัดเจนว่าทำไมคุณต้องเรียกใช้บริการห้องเก็บศพแทนการจัดการศพด้วยตัวเอง อย่างเช่น ศพอาจได้รับอันตรายหากไม่ได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง เป็นสาเหตุของโรคและการติดเชื้อ การดูแลร่างกายต้องใช้ทักษะเฉพาะซึ่งมาจากการฝึกอบรมพิเศษ และแน่นอน การดูแลศพเองเป็นเรื่องผิดกฎหมายไม่ว่าจะในอังกฤษหรือสหรัฐอเมริกา

            แม้เหตุผลเหล่านี้อาจดูเหมือนเป็นเรื่องที่เห็นได้ชัด แต่มันไม่ใช่เรื่องจริง ผมไม่ได้บอกว่าพวกคุณควรจะรู้สึกแย่ที่ไปเชื่อเรื่องเหล่านั้น มีมายาคติทางวัฒนธรรมที่แพร่หลายไปทั่วซึ่งคุณอาจได้รับเป็นมรดกตกทอดมา ศพไม่ได้คุกคามต่อสุขภาพกายหรือใจของเรา ยกเว้นในบางกรณีที่หาได้ยาก เช่น การเสียชีวิตจากโรคติดเชื้อชนิดร้ายแรงอย่างอีโบลา หรือการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ซึ่งสภาพร่างกายที่ยับเยินของผู้ตายอาจทำร้ายจิตใจต่อครอบครัวที่พบเห็นได้ แต่โดยเฉลี่ยแล้ว ศพที่เสียชีวิตโดยทั่วไปจะเหมือนกับศพที่ตายด้วยโรคมะเร็งหรือโรคหัวใจ คือไม่มีผลคุกคามต่อชีวิต แม้สภาพการเน่าเปื่อยจะดูน่ารังเกียจและส่งกลิ่นเหม็น แต่ไม่เป็นอันตราย แบคทีเรียที่ก่อให้เกิดการเน่าเปื่อยไม่ใช่ประเภทเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ

            นอกจากข้อยกเว้นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นการดองศพ คนทั่วไปสามารถเรียนรู้เรื่องการจัดการศพได้ไม่ยาก เพราะศพมีความเสี่ยงต่อคนที่มีชีวิตน้อย การดูแลศพด้วยตัวเองในบ้านของตนเองไม่ผิดกฎหมาย และผมจึงสนับสนุนว่าเป็นวิธีการแสดงความโศกเศร้าใจที่ดีกว่า ได้ใกล้ชิดและเข้าใจความตายมากกว่า

            เมื่อคาสซานดรา ยอนเดอร์ นักทำคลอดงานศพ (Funeral Midwife) มาถึงบ้านของซู ร่างของเจเรมี สามีของซูยังคงอุ่นอยู่ เขานอนบนตักของซู ร่างดูซีดแต่ไม่น่ากลัว คาสซานดราไม่ได้บอกซูว่าการแตะต้องร่างของเจเรมีเป็นเรื่องอันตราย หรือต้องนำตัวเขาออกมาทันที เธอเพียงแค่สร้างพื้นที่ให้ซูมีเวลาอยู่กับร่างของเจเรมี นักทำคลอดงานศพเป็นคนอยู่นอกอุตสาหกรรมงานศพ ย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่นักจัดการศพเป็นผู้หญิงที่ไปยังบ้านของครอบครัวผู้เสียชีวิตเพื่อตระเตรียมร่างกายของศพให้เรียบร้อย

            ซูเต็มไปด้วยความสับสน ในขณะที่กอดเจเรมี เธอถามเขาเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังจะกลายเป็นของเธอ ไหนจะเรื่องฟาร์ม สัตว์เลี้ยง และสวนที่เธอรู้สึกกังวล ในที่สุด เธอมองไปที่ใบหน้าของเขาและถามว่า "เธอรู้ไหมว่าฉันรักเธอมากแค่ไหน" ยอนเดอร์บันทึกว่าตนเองกำลังเฝ้าดูซูสื่อสารกับเจเรมีแทนที่จะเป็นเธอ

            งานศพที่บ้าน - การดูแลศพด้วยตัวเอง - เปลี่ยนการสัมพันธ์กับความโศกเศร้าของเรา หากคุณแต่งงานอยู่กินกับใครมานานถึง ๕๐ ปี เหตุใดถึงปล่อยให้คนอื่นมาเป็นผู้นำพวกเขาไปในตอนตายเสียเล่า มันให้ความรู้สึกของการควบคุมในช่วงที่เรารู้สึกสูญเสียการควบคุมมากที่สุด มีงานที่จะต้องทำหลายอย่าง ไม่ว่าการชำระล้างร่างกายและการแต่งกายศพเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งเป็นพิธีกรรมเล็กๆ ในโลกที่ห่างจากศาสนามากขึ้นทุกที แต่บางทีสิ่งสำคัญที่สุด คือการมีเวลาสามชั่วโมงหรือสามวันเพื่อให้ชินต่อข้อเท็จจริงที่ว่าคนคนนี้ได้จากไปแล้ว ร่างของพวกเขาเย็นชืด ผิวหนังแห้งเหี่ยว มือแข็ง พวกเขาไม่ได้อยู่ในโลกอีกต่อไปแล้ว และชุมชนจะต้องมาช่วยจัดการและก้าวต่อไปด้วยกัน

            นักจัดการศพไม่ใช่คนสกปรกหรืออันธพาล แต่เป็นคนที่เกี่ยวพันกับภาระอันศักดิ์สิทธิ์และลึกซึ้งของมนุษยชาติ ซึ่งส่งทอดเป็นประเพณีมายาวนานนับพันปี โดยการทบทวนความสัมพันธ์ที่หายไปต่อร่างกายของผู้ตาย และรับผิดชอบต่อการตายมากขึ้น พวกเราทุกคนนั่นแหละที่สามารถและควรจะเป็นผู้ดูแลการตาย

 

แปลจาก http://www.theguardian.com/commentisfree/2015/apr/13/sacred-task-caring-...

 

 

 

คอลัมน์: