ใจเดียว
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นหลังอ่านเรื่องราวจบลงด้วยน้ำตาคลอ ทำให้ฉันเริ่มรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจในสิ่งที่ทำลงไป
“พี่ต้องขอโทษด้วยถ้าเรื่องราวของเอกและเมรวมถึงครอบครัว ที่พี่เขียนทำให้เอกรู้สึกสะเทือนใจ
มีเนื้อหาส่วนไหนที่เอกรู้สึกว่ามันไม่ใช่ หรือต้องแก้ไขหรือเปล่า”
เอกยิ้ม “ไม่มีพี่ ก็ดีใจนะที่เรื่องของไอ้เมมีประโยชน์กับคนอื่น แต่ที่พี่เขียนเนี่ยจบแล้วเหรอ”
“ก็ตอนเขียนมันจบแค่นั้นแต่จริงๆ แล้วยังไม่จบ” ฉันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
ฉันเขียนเรื่องของเอกและเมเป็นการบ้านจากการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาการเก็บรวบรวมกรณีศึกษาส่งให้กับสำนักงานวิจัยสังคมและสุขภาพ คงจะดีถ้าเรื่องราวนี้จบลงเพียงแค่ในกระดาษหากแต่ความจริงแล้วการตายได้ทอดระยะทางออกไปจนไม่เห็นปลายทาง
เมถูกย้ายออกจากห้องไอซียูไปอยู่แผนกอายุกรรมหญิง โดยยังมีชีวิตอยู่ได้ด้วยเครื่องช่วยหายใจ อาหารทางสายยางและยาปฏิชีวนะที่หมุนเวียนเปลี่ยนชนิดกันไปมาเมื่อมีการติดเชื้อในร่างกาย
ในขณะที่ญาติๆ เริ่มหมุนเวียนมาเยี่ยมกันน้อยลง สุดท้ายภาระทั้งหมดในการดูแลเป็นของเอก
“พี่ ผมลาออกจากงานแล้วนะ มาเฝ้าไอ้เมอย่างเดียว แม่เอียดแกเฝ้าไม่ไหว ต้องนอนใต้เตียง เข้าออกก็ลำบาก” ฉันนึกถึงภาพแม่ของเมซึ่งตัวอ้วนใหญ่ แกคงจะลำบากจริงกว่าจะลุกขึ้นลงได้ โดยเฉพาะการนอนใต้เตียง
“แล้วเอกจะเอารายได้ที่ไหนล่ะ” ฉันถามด้วยความเป็นห่วงเรื่องค่าใช้จ่าย
“ผมยังพอมีเงินเก็บบ้าง ที่เหลือทางบ้านจะช่วยๆ กัน ส่วนออมสินให้ย่าเลี้ยง ตอนนี้อ้วนใหญ่เลยนะพี่ กำลังน่ารัก”
“เมได้ยินหรือเปล่า เอกบอกว่าลูกกำลังน่ารัก เอาไว้ให้ที่บ้านส่งรูปมาให้ดูนะ ต้องให้โตกว่านี้ก่อนถึงจะมาเยี่ยมได้ เดี๋ยวติดเชื้อ”ฉันไม่รู้ตัวเลยว่าได้พูดประโยคติดปากโดยอัตโนมัติของพยาบาลไปเสียแล้วที่เด็กเล็กๆ สักคนจะไม่ได้เข้ามาเยี่ยมญาติ จนเมขยับร่างอย่างเกร็งๆ เบ้หน้า
“เมมันอยากเจอลูก” เอกแปลจากท่าทางของเม
การดูแลคนไข้ตลอดเวลานั้นเป็นเรื่องที่ต้องใช้ทั้งความรัก ความอดทน เสียสละ แบกรับภาวะเครียด ความทุกข์ ฉันจึงแวะเวียนไปเยี่ยมเอกและเมเป็นระยะๆ พร้อมหนังสือธรรมมะบ้าง ขนมบ้าง รวมถึงสมุดบันทึกและปากกาให้เอกได้เขียนระบายความในใจ
“ตอนนี้ไม่ค่อยเครียดแล้วพี่ ใหม่ๆ เวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เมแล้วมันเกร็งมาก ผมก็เปลี่ยนให้ไม่ได้ พี่พยาบาลก็มาช่วย ผมก็ทั้งโมโหทั้งเครียดที่เมมันเกร็งทั้งตัว
“แล้วเอกโมโหใครล่ะ” ฉันถาม
“ตอนแรกก็โมโหเม แต่ไปๆ มาๆ จริงๆ แล้วผมโมโหตัวเองมากกว่าที่ทำให้เมมันไม่ได้ แต่ตอนนี้สบายมากพี่ ก็เปลี่ยนทั้งเกร็งแบบนี้แหละ บอกไอ้เมมันดีๆ บางทีผมรู้สึกเหมือนเมจะช่วยยกแขนให้ผมด้วยซ้ำ” ฉันรู้สึกถึงทั้งสองคนสื่อความรู้สึกบางอย่างถึงกันได้
ฉันช่วยเอกพลิกตะแคงตัวเม และเห็นแผลกดทับที่ก้นกบ
“ผมกลับไปบ้านแค่สองวันให้น้องสาวมาช่วยเฝ้า บอกให้คอยเปลี่ยนแพมเพิสหลังฉี่ทุกครั้ง แล้วก็พลิกตะแคงตัวทุกสองชั่วโมง แทบจะไม่ได้ทำเลย แล้วไอ้เมก็ไม่ยอมนอนเลยทั้งสองคืน จนผมกลับมาเนี่ยแหละเมถึงได้นอนหลับ เมคงไม่อยากให้ผมทิ้งไปไหน ผมก็คงไม่กลับบ้านแล้ว เป็นห่วง ถ้าจะไปก็แค่เดินเล่นแถวๆ นี้คลายเครียด”
ฉันเคยเห็นหน้าเมเบะปากร้องไห้เวลาโดนเอกดุ หรือเปลี่ยนเป็นยิ้มเมื่อได้ใส่เสื้อผ้าลายสวยตัวใหม่แล้วถูกชมว่าสวย โดยเฉพาะตอนนี้ที่ดูเหมือนเธอหลับอย่างสบายเพราะรู้แล้วว่าคนที่รักอยู่ใกล้ๆ
ฉันแนะนำให้เอกไปใส่บาตรทุกวันศุกร์ตามที่โรงพยาบาลจัดสถานที่ไว้ให้ สวดมนต์ให้เมฟังก่อนนอน แผ่เมตตา ขออโหสิกรรมเจ้ากรรมนายเวร และให้เอกขออโหสิกรรมแก่เมด้วยทุกคืน มีคนเคยบอกฉันว่า ความรักความผูกพันนำมาซึ่งความทุกข์ ฉันรู้สึกกว่าจิตของเมผูกพันกับเอกมากจนไม่อยากจากไปไหน
สองวันก่อนวันขึ้นปีใหม่ เอกแวะมาหาฉันที่วอร์ดเพื่อแจ้งข่าวว่าเมเสียชีวิตแล้ว
“ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ที่บ้านพาออมสินมาเยี่ยมแม่ ผมว่าเมดีใจได้เจอลูก แล้วที่เคยเล่าให้พี่ฟังว่า หลังปีใหม่ผมจะกลับไปทำงานแล้วให้แม่เอียดมาเฝ้า เมื่อคืนผมบอกเมจะขออนุญาตเขา ตอนเวรบ่าย เขาหายใจเหนื่อย ดูดเสมหะให้ยังเหนื่อยอยู่บ้าง แต่พอตอนตีสามเขาก็ไปแบบเงียบๆ ”
“ผมสัญญากับเมว่าจะเป็นพ่อให้ดีที่สุด ผมจะไม่ลืมเขา ขอให้เขาไปให้สบายไม่ต้องห่วงกังวลใดๆ ”
ฉันแสดงความเสียใจกับเอกที่ต้องเสียคนที่รักไปในขณะเดียวกันได้ชื่นชมสิ่งที่เอกทำให้เมในตลอด
ระยะเวลา ๘ เดือนที่ผ่านมานั้นดีที่สุดแล้ว โดยเฉพาะคำสัญญาสุดท้ายที่ให้ต่อเม
ที่ผ่านมาทั้งเครื่องช่วยหายใจ อาหารทางสายยางหรือยาปฏิชีวนะอาจเป็นเพียงเครื่องยืดลมหายใจให้รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่ แต่พลังแห่งชีวิตของเมแล้วคือความรักความผูกพันต่อสามีและลูก การจากไปของเมอาจเป็นคำตอบต่อคำขออนุญาตของเอก เพื่อให้เขาได้ไปทำอีกสิ่งที่เธอรัก
“พี่จะเป็นพ่อให้ดีที่สุด”