Count down ชีวิต
เพราะตระหนักถึงความจริงที่ว่าชีวิตคนเรามีเวลาจำกัด แต่เรามักจะถูกทำให้คิดว่าชีวิตมีไม่จำกัด จึงทำให้คุณเอกภพ สิทธิวรรณธนะ คณะทำงานโครงการเผชิญความตายอย่างสงบ เครือข่ายพุทธิกา คิดหาเครื่องมือเตือนสติตัวเองให้ระลึกว่าเวลาของชีวิตมีจำกัดและกำลังหมดลงเรื่อยๆ โดยเชื่อว่าหากเห็นสัญลักษณ์ของความจำกัดนี้บ่อยๆ จะช่วยเตือนตัวเองให้ระลึกว่า ความเจ็บ ความป่วย ความตาย เป็นธรรมดาของชีวิต เป็นมรณานุสติที่จะนำสิ่งดีๆ มาสู่ชีวิตต่อไป แอพพลิเคชั่น TimeSpan และ FlipDown จึงถูกนำมาประยุกต์ใช้ในการนับถอยหลังชีวิต เพื่อให้มองเห็นความจำกัดอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น
“จริงๆ TimeSpan และ FlipDown เป็นแอพฯ บนโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนที่ใช้ตั้งเวลานับถอยหลัง เช่น เหลือเวลาอีกกี่วันจะต้องส่งงาน แต่ผมเอามาประยุกต์นับถอยหลังชีวิต ตั้งชื่อการเตือนว่า My death โดยตั้งค่าวันที่เราคาดว่าจะตาย หรือตั้งค่าว่าเราจะมีชีวิตอยู่ถึงอายุเท่าไหร่ดี ผมตั้งไว้ว่าสัก ๖๘ ปี คืออายุเฉลี่ยผู้ชาย แล้วก็เปิด เราก็จะเห็นเวลาของชีวิตที่ลดลงเรื่อยๆ เป็นวินาทีเลย
“ครั้งแรกที่ลองใช้ แวบแรกที่เห็นมันกระแทกใจมาก รู้เลยว่าชีวิตมีจำกัด เหลืออยู่เป็นจำนวนที่นับได้และกำลังถอยลงเรื่อยๆ มีรูปธรรมที่เห็นจริงๆ ว่ากำลังถอยลง เมื่อเห็นอย่างนั้นเราก็หันกลับมาทบทวนสิ่งที่กำลังทำอยู่ว่าใช่หรือเปล่า ซึ่งก็ได้คำตอบว่าใช่ สิ่งที่เราทำอยู่มันถูกแล้ว ทำให้เรามั่นใจในสิ่งที่กำลังทำอยู่ว่ามันสำคัญจริงๆ และก็ดีใจที่เรายังทำอยู่ แม้ในครั้งหลังๆ ที่เปิดดูแอพฯ นี้ ความรู้สึกจะจางคลายลงไปบ้าง ไม่กระแทกใจเท่าครั้งแรก แต่มันก็ยังได้ผลอยู่ ที่จะทำให้หันกลับมาทบทวนสิ่งที่ทำ ทุกครั้งที่ระลึกได้ ผมก็จะเปิดมันดูอย่างตั้งใจเพื่อเตือนตัวเองอยู่เสมอ
“ผมยังมีวิธีอื่นๆ ในการระลึกถึงความตาย เช่น เวลาเห็นใบไม้ร่วงก็จะย้อนระลึกว่าความตายเป็นเรื่องธรรมดา เพราะส่วนใดส่วนหนึ่งของเราตายลงตลอดเวลา และความตายก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิต ใบไม้ร่วงเป็นการเปิดโอกาสให้ใบไม้ใหม่ได้งอกขึ้นมา ความตายจึงเป็นโอกาสให้สิ่งงดงามอย่างอื่นเกิดขึ้น ทำให้ชีวิตระหว่างนี้มีความหมาย และอีกเรื่องหนึ่งที่เตือนสติผมเรื่องความตาย คือ กระเป๋าคาดเอว ที่ดูเหมือนกระเป๋าของพ่อค้า ของช่างไม้ กระเป๋านี้มีหน้าที่สองอย่างคือ เอาไว้ใส่โทรศัพท์มือถือและของกระจุกกระจิกต่างๆ หน้าที่อีกอย่างคือ ทุกครั้งที่ระลึกได้ผมจะคิดว่ากระเป๋านี้คือกองสังขารที่แม้ว่ามันจะให้ประโยชน์กับเรา เป็นของมีค่าที่อยู่กับเรา แต่อีกนัยหนึ่งมันก็หนักและฉุดรั้งเราอยู่ เราไปไหนก็ต้องเอาไปด้วย เป็นของหนักที่เราบรรทุกและแบกไปอยู่ ทุกครั้งที่เราใส่หรือถอดก็จะเตือนสติให้ฝึกปล่อยวาง หรือฝึกสวมอย่างมีสติด้วย
“ประโยชน์ที่ผมได้จากการระลึกถึงความตาย รู้สึกว่าใช้ชีวิตง่ายขึ้น คือชีวิตเรามีสิ่งที่ต้องทำหลายอย่าง บางอย่างสำคัญบางอย่างก็ไม่สำคัญ ความตายทำให้สิ่งสำคัญกับสิ่งไม่สำคัญมันชัดเจนออกมาว่า สิ่งนี้ไม่สำคัญหรอกเราไม่ต้องทำก็ได้ สิ่งนี้สำคัญเราต้องให้เวลา ให้พลังงาน ให้คุณค่ากับมัน ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมคือตอนที่ทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโทใกล้เสร็จ อาจารย์ก็โทรมาบอกว่ามีทุนไปเบลเยียม ซึ่งถ้าพูดถึงการเรียนต่อถ้ามีทุนมันก็ดีสำหรับชีวิต แต่พอคิดว่าไปเรียนต่ออีกหลายปีนะ หรือจะทำงานเรื่องความตายต่อ มันก็ง่ายมากเลยที่จะไม่ไปโดยไม่เสียดาย หรือแม้กระทั่งตอนนี้อาจารย์ก็มักชวนเรื่องเรียนปริญญาเอก ซึ่งก็ง่ายมากเลยสำหรับเราที่จะปฏิเสธ หรือว่าถ้าจะเรียนต่อก็หมายความว่าการเรียนต้องรับใช้การทำงานเรื่องความตายด้วย”