วันที่สอง : มันช่างต่างกันราวฟ้ากับดิน
วันนี้ (วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๕) เป็นวันที่สองของผมสำหรับปฏิบัติการอาสาข้างเตียง ผมเดินทางไปหาน้องด้วยความรู้สึกเฉยๆ แต่ผมตัดสินใจไปหาน้องเพราะอยากให้น้องรู้ว่าผมพร้อมที่จะเป็นมิตรใหม่ของเขา
ที่วอร์ดผมมองไปที่เตียงเดิมที่น้องเคยนอน แต่ดูแล้วมันเปลี่ยนไป ผมเลยไม่แน่ใจว่าผมเข้าผิดวอร์ดหรือว่าน้องกลับบ้านไปแล้ว ผมลองพยายามมองอีกที ก็มองเห็นคุณแม่ของน้องนั่งอยู่ใกล้ๆ ผมจึงรีบเข้าไปยกมือไหว้ทักทายสวัสดี ผมมองไปที่น้อง วันนี้น้องดูสดใสร่าเริงมากกว่าเมื่อวานที่ผมมาเยี่ยม มันช่างแตกต่างกันแบบหน้ามือเป็นหลังมือ เธอนั่งเล่นอยู่กับแม่ เธอมีรอยยิ้มที่สดใสร่าเริง สีหน้าดูมีความสุขสดชื่น หลังจากที่ผมทักทายแม่ของเธอ ผมก็ชวนเธอไปเล่นในห้องนันทนาการ คุณแม่ก็ช่วยเสริมว่า เธอชอบเล่นในห้องนั่นมาก ชอบระบายสีมาก พวกเราจึงเขาไปเล่นในห้องด้วยกัน แต่เธอไม่ยอมไปตามลำพังกับผม เธอขอให้แม่ไปด้วย
ในห้องเด็กเล่น ผมชวนเธอคุย... เคยมาเล่นอะไรในห้องนี้บ้าง นั่งเล่นตรงไหน ตรงนี้ใช่ไหม แล้วระบายสีด้วยหรือเปล่า... ผมถามเธอไปเรื่อยๆ ระหว่างที่ถามก็พยายามหาอุปกรณ์และจัดสถานที่ ส่วนน้องเองก็ยืนนิ่ง มองผมด้วยความตั้งใจ และบางคำถามเธอก็พยักหน้าตอบ ในระหว่างนี้คุณแม่ก็อยู่ด้วย แต่คอยดูอยู่ห่างๆ พอคุณแม่จะขอไปเข้าห้องน้ำ เธอก็บอกว่าไม่ให้ไป (สงสัยเธอจะติดแม่จริงๆ) ท้ายที่สุดผมก็หาหนังสือระบายสีมาได้ หยิบสีให้เธอระบาย และบอกเธอว่า “พี่ระบายสีไม่เก่งเลย ระบายทีไรภาพเละเทะทุกที ไม่สวยเลย เดี๋ยวพี่จะเหลาดินสอสีให้แล้วกัน อยากให้พี่เหลาสีไหนให้ก็เอามาวางตรงนี้นะ”
ผมแอบสังเกตเห็นว่า สีที่ผมเหลาเธอจะยังไม่หยิบมาระบาย ไม่รู้ว่าเป็นความต้องการของเธอหรือว่ายังอายๆ กลัวๆ ผมอยู่ แต่ระหว่างนี้ผมก็ชวนคุณแม่ของน้องคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วๆ ไป ผมพยายามจะไม่เริ่มคุยมาก แต่มักจะถามมากกว่า เช่น บ้านอยู่ที่ไหน เดินทางมาอย่างไร ที่บ้านของคุณแม่มีอะไรน่าเที่ยว เป็นต้น สิ่งที่ผมเตือนตัวเองว่าห้ามถามโดยเด็ดขาดคือ คุณพ่อไปไหน หรือคำถามที่เกี่ยวกับสามีหรือคุณพ่อของน้อง เพราะผมไม่รู้ว่าเขามีปัญหาครอบครัวหรือเปล่า ผมกลัวว่ามันจะไปกระทบกระเทือนจิตใจทั้งคุณแม่และน้อง
ระหว่างที่คุยกันนี้ ไอ้นิสัยช่างสังเกตของผมมันดันโพล่งขึ้นมา ผมสังเกตเห็นคุณแม่ของน้องยืนอ่านหนังสือการ์ตูนเด็กอย่างตั้งอกตั้งใจ ท่าทีคล้ายกันคนที่ชอบอ่านหนังสือเป็นอย่างมาก ผมเลยเอ่ยปากถามไปว่า “คุณแม่ครับ คุณแม่ชอบอ่านหนังสือพวกชีวจิตหรือเปล่าครับ” คุณแม่ก็หันมาคุยกับผมด้วยสีหน้าท่าทีที่ตื่นเต้น และเอ่ยปากออกมาว่า “ชอบสิ ชอบมากเลยแหละ” ผมเลยบอกคุณแม่ว่า “คุณแม่ของผมก็ชอบอ่านเหมือนกัน ที่บ้านผมมีเต็มไปหมดเลย วันหลังผมจะเอามาให้อ่านนะครับ” คุณแม่ก็พูดต่ออีกว่า “ดีเลย ถ้าเอาไปวางไว้ที่ OPD ชั้นห้าได้ก็จะยิ่งดี ตรงนั้นมีพ่อแม่ผู้ปกครองเด็กที่ต้องรอรับบริการนานอยู่มากมาย วันหนึ่งหลายร้อยคนเลย”
จากนั้นผมกับคุณแม่ก็คุยกันยาว คุยกันทุกเรื่องแม้กระทั่งเรื่องน้ำท่วมยังเอามาคุยกัน ระหว่างที่ผมคุยกันคุณแม่ ผมก็นั่งเหลาสีไปด้วย เหลาจนแสบมือเหมือนมันจะพองเลยทีเดียว ผมสังเกตเห็นว่า ตลอดการสนทนาที่ผมนั่งฟัง และถามคำถามเพิ่มเติมที่แสดงถึงความใส่ใจในการพูดของคุณแม่ คุณแม่มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ดูท่านมีความสุขมาก ท่านมองหน้าผม พูดและยิ้มไปด้วยกัน ทุกอย่างที่ท่านแสดงออกมันดูเป็นธรรมชาติ ไม่เหมือนกับวันแรกที่ผมเจอท่าน ท่านดูเหนื่อย เหมือนในใจของท่านมีเรื่องราวให้คิดมากมายเวลาที่จะคุยกับผม แต่พยายามที่จะยิ้มและตัดเรื่องเหล่านั้นออกไป ขณะที่ผมนั่งเหลาสีและคุยกับคุณแม่อยู่นั้น เจ้าตัวน้อยก็ระบายสีอย่างเมามันจนกระทั่งเธออยากจะใช้สีแท่งหนึ่ง แต่ว่ามันทู่หมดแล้ว แถมสีแท่งนี้มีขนาดใหญ่กว่าแท่งอื่นๆ มากจนกบเหลาดินสอที่เรามีไม่สามารถเหลามันได้
เด็กน้อยยื่นสีแท่งนี้ให้กับคุณแม่ของเธอ คุณแม่ก็บอกว่า “ยื่นให้พี่สิลูก เดี๋ยวพี่เขาจะเหลาให้” เด็กน้อยก็บอกว่า “มันเหลาไม่ได้ มันใหญ่” ผมเลยบอกว่า “ไหนเอามาให้พี่ดูสิ พี่อยากลอง” แล้วเด็กน้อยก็ส่งสีแท่งนั้นให้กับผม ผมกับเอาสีแท่งนั้นยัดเข้าไปในกบเหลาสีแล้วทำเสียงประหลาด เพื่อชวนให้เธอหัวเราะ เธอก็หัวเราะออกมา นั่นเป็นเสียงหัวเราะเสียงแรกของเธอที่ผมได้ยิน
ผมรู้สึกดีและมีความสุขมาก ผมเริ่มรู้สึกว่ามิตรภาพมันเริ่มเกิดขึ้นแล้ว หลังจากนั้นเธอก็เห็นกระดาษหน้าหนึ่งในหนังสือระบายสีซึ่งว่างโล่ง เธออยากจะให้แม่ของเธอวาดรูปเพื่อที่เธอจะได้ระบายสี คุณแม่ก็บอกว่า “ไม่วาด หนูวาดเองสิลูก” ท้ายที่สุดก็เสร็จผม “ไหนพี่ขอลองวาดหน่อย ดูสิพี่จะวาดรูปสวยแค่ไหน” แล้วเธอก็ส่งหนังสือและดินสอให้ผมวาด ผมค่อยๆ วาดรูปเต่า เธอจ้องมองการวาดรูปของผม และระหว่างที่ผมวาด ผมก็ถามเธอไปด้วย “เอ๊ะ ตัวอะไรหว่า สวยไหม มองออกไหม”
จากนั้นผมก็ส่งให้เธอระบายสี ส่วนผมกับคุณแม่ก็นั่งคุยกันต่อ ในระหว่างที่ผมกับคุณแม่คุยกันอยู่นั้น น้องก็คุยแทรกบ้าง ซึ่งเมื่อน้องคุยแทรกขึ้นมา ผมกับคุณแม่ก็จะให้ความสำคัญกับสิ่งที่น้องพูด เช่น ตอบคำถามกับชมเชย การแสดงความเห็นง่าย สอดแทรกมุขตลก เป็นต้น เมื่อผมสังเกตเห็นว่าน้องเริ่มเบื่อการระบายสี ผมก็ออกปากถามว่า “เบื่อยัง ถ้าเบื่อแล้วช่วยกันเก็บของ” เมื่อเก็บของกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็ให้เธอดูมือที่เปื้อนสีจากการเหลาสีของผมให้เธอดู และถามเธอว่า “อยากจับมือพี่ไหม (ถามด้วยอารมณ์ขัน)” เธอก็ตอบว่า “ไม่เอา สกปรก” เธอตอบด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มแกมหัวเราะ จากนั้นผมก็ไปล้างมือ และจะเดินไปหาเธอเพื่อกล่าวคำอำลา
เมื่อผมล้างมือเสร็จ ผมก็พยายามจะมองหาว่าเธออยู่ไหน แต่ด้วยสายตาอันเฉียบแหลมของผม ก็เห็นว่าเธอแอบอยู่หลังคุณแม่ ซึ่งนั่นแสดงว่าเธอกำลังเล่นซ่อนแอบกับผม ผมเลยเข้าไปจ๊ะเอ๋เธอ และคุณอยู่กับคุณแม่นิดหน่อย และเธอก็มุดตัวลงไปในเก้าอี้อยู่นาน จนผมเห็นว่าเธอคงเล่นซ่อนแอบอีกแล้ว ผมก็เลยไปจ๊ะเอ๋เธออีกที เธอยิ้มและหัวเราะชอบใจใหญ่ จากนั้นผมก็บอกลาคุณแม่ คุณแม่ก็พยายามให้น้องยกมือสวัสดี น้องก็ยกมือสวัสดีแต่ไม่มองหน้าผม ตัวบิดไปมา คล้ายกับยังอายผมอยู่ แต่พอผมจะไปจริงๆ ผมโบกมือบายๆ เธอ เธอก็ยกมือบายๆ และมองหน้าผมด้วยสีหน้าและท่าทีที่เต็มใจ