การเติบโต: แด่รัก และเมตตา

ชัยยศ จิรพฤกษ์ภิญโญ 6 ธันวาคม 2015

เคยสังเกตไหมครับ เมื่อเราเข้าใกล้ใคร อาจจะเป็นนายกรัฐมนตรี นักธุรกิจเงินล้าน ดารานักแสดงผู้มีชื่อเสียง คนเฒ่าคนแก่ หรือครูบาอาจารย์ที่เรารู้จัก พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง  เราสัมผัสถึงอะไรในจิตใจของเรายามเมื่อปฏิสัมพันธ์กับบุคคลเหล่านี้ เรารู้สึกถึงผลกระทบและปฏิกิริยาอย่างไร ยามที่ได้ยินน้ำเสียง คำพูด ท่าทีการแสดงออกของบรรดาท่านและเธอเหล่านี้ เรารู้สึกถึงพลังอะไรอย่างไรรอบตัวของผู้คนเหล่านี้

​ศาสตราจารย์ พอล เอ็คแมน  เป็นนักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงระดับโลก ผลงานสำคัญคือ การศึกษาด้านอารมณ์ การแสดงออกทางสีหน้า จนเป็นองค์ความรู้สำคัญด้านการจับโกหก และมีบทบาทสำคัญช่วยไขคดีความให้กับทางการทั้งฝ่ายตำรวจและหน่วยงานด้านการป้องกันภัยก่อการร้าย  ด้วยคุณวุฒิด้านการศึกษา ผลงานวิชาการ สถานภาพสังคม และวัยวุฒิ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายนักที่ท่านจะเปิดรับสิ่งใหม่ๆ เข้ามา  การมีโอกาสที่จะได้พบปะประชุมร่วมกับ ท่านทะไลลามะ  ก็ไม่ได้สร้างความสนใจอะไรด้วยนัก  แต่ท่านตัดสินใจเข้าร่วม เนื่องด้วยเหตุผลสำคัญคือ ลูกสาวที่รักของตนต้องการพบปะและสนทนากับท่านทะไลลามะ จึงเป็นเหตุให้ท่านร่วมการพบปะกับผู้นำจิตวิญญาณ

​แม้ท่านไม่ได้คาดหวังอะไร เพียงแค่เอื้อเฟื้อโอกาสให้ความตั้งใจของลูกสาวบรรลุความสมหวัง แต่แล้วการพบปะคราวนี้ก็ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงกับชีวิตของท่านอย่างคาดไม่ถึง  ประสบการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นคือ ตลอดช่วงที่ท่านทะไลลามะสนทนากับบุตรสาว ท่านผู้นำทางจิตวิญญาณเลือกที่จะจับกุมมือของนักจิตวิทยาผู้นี้ตลอดเวลา  ​

ท่านทะไลลามะ

​ศาสตราจารย์พอล บอกเล่าในภายหลังว่า …. “ในช่วงสิบนาทีนั้นร่างกายของผมรู้สึกอบอุ่น..เป็นความอบอุ่นจริงๆ ผมมีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถถ่ายทอดด้วยคำภาษาอังกฤษ – คำว่า อบอุ่น นี่แหละใกล้เคียงที่สุดแล้ว แต่ไม่ใช่ความร้อน มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ ท่านแค่จับมือผมเท่านั้น มันเป็นอะไรบางอย่างที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อน หรือรู้สึกอีกแล้วหลังจากนั้น”

​“ประสบการณ์ประหลาดอย่างที่สองก็คือ ผมรู้สึกคล้ายกับเห็นภาพหลอน  เราอยู่ในห้องประชุม มีคนหลายคนกำลังรอโอกาสที่จะคุยกับท่าน แต่ผมรู้สึกเหมือนว่ามีอะไรล้อมรอบอีฟ (ลูกสาวท่าน) ผมและท่านไว้ เหมือนเราอยู่ในแคปซูล  ผมรู้สึกเหมือนมองจากด้านที่ผิดของกล้องส่องทางไกลขณะมองออกไปห้องประชุม  จริงๆ แล้วคนอื่นๆ อยู่ไม่ไกลเลย ห่างไปราวสี่ฟุตเท่านั้น แต่ดูเหมือนพวกเขาอยู่ห่างออกไปหลายร้อยฟุต”

​ความโกรธเป็นสิ่งที่อยู่คู่ศาสตราจารย์พอล เหมือนกับชีวิตของหลายๆ คน ความรุนแรงในครอบครัวที่มักได้รับจากการลงโทษทุบตีของบิดามาตลอดวัยเด็กถึงวัยรุ่น แม้การทุบตีจะจบสิ้นลง แต่ความโกรธยังเกาะกุมนักจิตวิทยาท่านนี้มาตลอด ทุกประเด็นเรื่องราวสามารถกระตุ้นความโกรธ ขุ่นเคืองในใจของท่านได้เสมอ

แต่ประสบการณ์การได้พบปะท่านผู้นำจิตวิญญาณคราวนี้ ก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ความโกรธดูจะเบาบางลง ท่านสามารถผ่อนคลายและปล่อยวางได้มากขึ้น

ศาสตราจารย์พอล ตอบอย่างชัดเจนว่าตนไม่สามารถอธิบายได้ แต่ที่ท่านบอกได้คือ การได้สัมผัสถึงพลังความดีงามในตัวท่านทะไลลามะ  ความเป็นไปได้ที่ท่านเชื่อคือ ประสบการณ์นั้นต้องเนื่องกันกับความดีงามที่แผ่ออกจากท่านผู้นำจิตวิญญาณนี้แน่นอน  และสำหรับความเป็นผู้ยึดถือแนวทางวิทยาศาสตร์มาตลอด ท่านเริ่มเปิดรับว่าจะต้องมีอะไรบางอย่างอันเนื่องมาจากการฝึกสมาธิ การปฏิบัติธรรม และการสร้างความดีงามที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น

ศาตราจารย์ พอล เอ็คแมน

“ผมรู้สึกอบอุ่นจริงๆ ท่านแค่จับมือผมเท่านั้น มันเป็นอะไรบางอย่างที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อน หรือรู้สึกอีกแล้วหลังจากนั้น” ศาสตราจารย์พอลกล่าว

​ราวปี ๒๕๔๒ ผู้เขียนมีโอกาสได้ร่วมกลุ่มเดินทางเข้าเฝ้าท่านทะไลลามะที่อินเดีย แม้จะไม่ได้ใกล้ชิดท่านมากนัก แต่ระยะที่ห่างราว ๒ เมตร ประสบการณ์ที่สัมผัสได้คือ พลังที่แผ่ออกมาจากตัวท่านที่รู้สึกได้ถึงความสงบเย็น ความอบอุ่นปลอดภัย ความเป็นมิตร และเมตตา  รอยยิ้มและเสียงหัวเราะสร้างความเบิกบานแก่ผู้เข้าเฝ้าเป็นอย่างยิ่ง ณ ขณะนั้น  ดังนั้นเมื่อผู้เขียนมีโอกาสอ่านเรื่องราวของ ศาสตราจารย์พอล เอ็คแมน จากหนังสือ “ปรีชาญาณแห่งความเมตตา” จึงไม่แปลกใจนัก

​วงการวิทยาศาสตร์ทำการวิจัยคุณประโยชน์และผลกระทบของการทำสมาธิภาวนา แต่ในแวดวงผู้ศึกษาปฏิบัติธรรมต่างล้วนมีประสบการณ์และศึกษาเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ตลอดเวลา  การเจริญสติ การสวดมนต์ เมตตาภาวนา การปฏิบัติตามคำสอนไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญา ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับชีวิตทั้งการมีสติรู้เท่าทันตนเอง การดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท รวมไปถึงการมีทัศนคติที่มีเมตตา เข้าใจโลก เข้าใจความจริง  ล้วนสร้างการเปลี่ยนแปลงภายในในทางงอกงาม

​และจากประวัติชีวิต กิจวัตรชีวิตประจำวันของท่านทะไลลามะ รวมไปถึงครูบาอาจารย์ทางธรรมหลายท่าน ต่างก็มีกิจวัตรการภาวนาหรือการปฏิบัติธรรมอยู่ตลอดเวลา ทั้งในและนอกรูปแบบ  และผลการภาวนาก็ได้สั่งสมเป็นคุณงามความดี ความเมตตา ความสงบเย็นอยู่ภายใน และพลังเหล่านี้ก็แผ่ล้นให้ทุกคนที่อยู่ใกล้ได้สัมผัสและเข้าถึง

​ภาวะผู้นำมีอยู่ในทุกคน แต่ผู้นำที่แท้จะมีภาวะผู้นำหาใช่เพราะการมีตำแหน่ง ยศศักดิ์ หรือด้วยการแสดงออกถึงความใหญ่โตผ่านน้ำเสียงหรือท่าทางที่แสดงออก  แต่ต้องมาจากคุณค่าภายใน ที่กอรปด้วยความดี ความงาม และความจริง  ปราศจากคุณค่า การมีความรัก ความเมตตา ความสงบเย็นภายใน ผู้นำที่แสดงออกถึงความใหญ่โตก็เป็นได้แค่นักแสดงจำอวด

​เริ่มต้นให้ความรักความเมตตากับตนเอง กับตัวตนภายใน ด้วยการแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตน ความสุภาพ การให้เกียรติ การเคารพตนเองและผู้อื่น ผลของการกระทำเช่นนี้จะงอกเงยสู่ความเป็นผู้นำที่แท้


ภาพประกอบ

ชัยยศ จิรพฤกษ์ภิญโญ

ผู้เขียน: ชัยยศ จิรพฤกษ์ภิญโญ

นอกเหนือจากบทบาทนักเขียนประจำคอลัมน์ งานสำคัญ คือ กระบวนกร นักจิตปรึกษา, enneagram coach สนใจและรักที่จะทำงานด้านการทำงานเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงกับโลกภายในผ่านทักษะ ประสบการณ์เรียนรู้ทั้งงานอบรม การทำจิตปรึกษา และงานเขียน