การผลิบานหลังงานเลี้ยง

มะลิ ณ อุษา 6 มกราคม 2013

หลังจากการเดินทางและงานเฉลิมฉลองสิ้นสุดลง ก็ถึงเวลาที่ต้องกลับมาเผชิญกับชีวิตประจำวันที่แสนจะธรรมดา (และอาจจะน่าเบื่อหน่ายสำหรับบางคน) กันอีกครั้ง

ในความรู้สึกของฉัน ช่วงเทศกาลที่มีวันหยุดยาวๆ ติดต่อกัน มักมีมือมืดที่คอยผลักไสให้เราต้องรีบออกจากที่พำนักอันแสนจำเจ ในขณะเดียวกัน แสงแดดและสายลมเบื้องนอกก็คอยกวักมือเรียกอยู่เหยงๆ ดังนั้น ถนนทั้งสายหลักและรองที่มุ่งหน้าออกจากเมืองหลวงจึงคลาคล่ำไปด้วยยวดยานและความปรารถนาของผู้คน

ความสุขรออยู่เบื้องหน้า…นั่นคือความปรารถนา

ความทุกข์ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง…นั่นคือความคาดหวัง

ฉันเองก็เช่นกัน ทุกครั้งที่ยกเป้เกาะหลัง ภาพความสุขเบื้องหน้าก็ปรากฏขึ้นมารังรอง การออกเดินทางคือภารกิจของชีวิต คือความรื่นรมย์ที่เราดั้นด้นไปค้นหาตามสถานที่ต่างๆ และสิ้นสุดลงพร้อมกับพลังชีวิตที่ค่อยๆ เหือดหายไป เมื่อเรากลับมาเผชิญกับชีวิตประจำวันแบบเดิมๆ รอคอยเพื่อที่จะมีโอกาสได้ออกเดินทางไปเติมพลังในช่วงวันหยุดยาวอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง

สำหรับวันหยุดยาวและโอกาสพิเศษที่เพิ่งสิ้นสุดลงนี้ ภาพเหตุการณ์อันแสนคุ้นเคยหมุนเวียนกลับมาปรากฏตรงหน้าอีกครั้ง เพลง Alone Again ของหมู่บ้านพลัมทอดทำนองอ้อยอิ่งในห้วงความรู้สึก โดยเฉพาะท่อนที่ว่า “สู่ความเดียวดายอีกครั้ง แล้วฉันก็จะเดินหน้าต่อไป” ตอกย้ำด้วยภาพต้นไม้ใบหญ้าที่อุตส่าห์ฟูมฟักมาตลอดปี ออกอาการทิ้งใบสีน้ำตาลแห้งกรอบเป็นทิวแถว เนื่องจากขาดน้ำเป็นเวลานาน

ฉันปลดเครื่องหลังลงด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยว งานรื่นเริงจบลงอย่างสิ้นเชิง! คล้ายกับว่าอาการซึมเซาหลังงานเลี้ยง หรือที่เรียกว่า Post-Vacation Syndrome กำลังรุมเร้าจิตใจอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยง และฉันก็ยินดีที่จะเปิดประตูรับมันเข้ามาเสียด้วยสิ

สองสามวันถัดมา ความหวังที่เคยคิดว่าสูญสิ้นไปนั้น ได้หวนกลับมาอีกครั้งในรูปของตุ่มตาเล็กๆ สีเขียวตามกิ่งก้านสีน้ำตาล ซึ่งเป็นภาพงานเฉลิมฉลองที่งดงามที่สุดในห้วงยามนี้เลยทีเดียว แต่พอนึกย้อนกลับมาที่ตัวเองแล้วให้รู้สึกละอายแก่ใจที่รีบตีตนไปก่อนไข้ แค่เห็นใบกรอบๆ สีน้ำตาลก็พาลนึกว่าต้นไม้ตายเสียแล้ว

ทั้งๆ ที่ที่จริงแล้วก็รู้อยู่แก่ใจว่า เบื้องหลังการสิ้นสุดของสิ่งหนึ่งย่อมนับเป็นจุดเริ่มต้นของอีกสิ่งหนึ่งเสมอ แต่เรา-ผู้ซึ่งสำคัญมั่นหมายอยู่แต่กับความเป็นนิจนิรันดร์ จึงตื่นตระหนกเมื่อมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น โดยเฉพาะในทางที่พลัดพรากสูญเสีย

ในทางการแพทย์ผู้ที่มีอาการซึมเซาหลังงานเลี้ยง โดยทั่วไปมักจะปรับตัวได้ภายใน 2 – 3 วัน นี่คือข่าวดี ในทางจิตวิญญาณการปรับตัวเร็วเกินไป ทำให้เรามองไม่เห็นบทเรียนหรือจุดติดขัดในการที่จะปรับเปลี่ยนหรือพัฒนาตัวเอง และมีโอกาสที่จะเผชิญกับเหตุการณ์เดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และแน่นอนว่า นี่คือข่าวร้าย

วันที่บทความฉบับนี้ได้รับการตีพิมพ์ ฉันคาดว่าคุณคงเริ่มปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ในชีวิตประจำวันได้แล้ว และก็คาด (ปรามาส) ต่อไปอีกว่าจะเป็นร่องความคุ้นชินเดิมๆ ไม่ว่าจะเป็น การจัดการกับอารมณ์ยามที่แช่อยู่บนเส้นทางจากบ้านไปที่ทำงาน การปฏิสัมพันธ์กับเจ้านายที่ไม่คงเส้นคงวา หรือเพื่อนร่วมงานที่ชอบซุบซิบนินทา ลูกดื้อ หมาป่วย ฯลฯ ความหงุดหงิดกลับมาประจำการอีกครั้ง โดยที่เราเป็นคนเปิดประตูรับมันกลับมา

ลองคิดเล่นๆ ว่า อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าฉันไม่ยอมให้ใบไม้แห้งๆ สีน้ำตาลหลุดร่วงไป มิหนำซ้ำยังพยายามฉุดรั้งมันเอาไว้ ฉันอาจจะหากาวมาติดหรือหาเทปกาวมายึด เพราะคิดว่านั่นคือการยืดชีวิตต้นไม้ออกไป สำคัญมั่นหมายว่ามันจะต้องอยู่อย่างนั้นนานเท่านาน เมื่อนั้นแหละความตายที่แท้จริงจะเกิดขึ้น และการสูญเสียที่แท้จริงก็จะตามมา ตุ่มตาสีเขียวคงไม่มีโอกาสได้ผุดขึ้นมา เพราะใบเก่าไม่สามารถหลุดร่วงไปได้

เพราะเราไม่ยอมทิ้ง ไม่ยอมปล่อยวางสิ่งที่ได้ผ่านไปแล้ว กลับพยายามฉุดรั้งมันไว้อย่างโง่เขลา เฝ้ามองด้วยความวาดหวังว่ามันจะยังคงอยู่อย่างเดิมชั่วนาตาปี อืม…ขออภัยที่ต้องบอกว่า เรากำลังหลอกตัวเองไปวันๆ หลอกตัวเองว่าใบไม้สีน้ำตาลนั้นเป็นสีเขียว ซากกิ่งไม้หงิกๆ งอๆ นั้นคือช่อดอกอันงดงาม ถ้าหากพอใจเช่นนั้นฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอก เชิญหาความบันเทิงตามความสมัครใจเถิด

แต่ถ้าหากคุณสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของชีวิตที่กำลังดำเนินอยู่อย่างปกตินี้ ขอเชิญสะกิดใบไม้สีน้ำตาลให้หลุดร่วงลงทีละใบๆ เถิด ฉันขอแสดงความยินดีด้วย

ไม่ใช่แต่ใบไม้หรอกที่จำต้องหลุดร่วงไป คราวหนึ่งในเหตุการณ์ที่คล้ายๆ กันนี้ กุหลาบหนูสีชมพูกำลังแย้มบาน และฉันก็จำเป็นต้องออกเดินทาง สิ่งที่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้าเวลาที่กลับมาถึงบ้านคือ กลีบดอกสีชมพูแปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอมแดงแห้งคาต้น การจากไปของดอกกุหลาบหนูในห้วงยามที่กำลังแย้มบานนั้นบ่งบอกว่า ไม่ใช่แต่เหตุการณ์ธรรมดาในชีวิตประจำวันหรือความทุกข์เท่านั้นหรอกที่เราจำต้องปล่อยวาง ความสุขสดชื่นเองก็มีวันแปรเปลี่ยนไม่คงทนเช่นกัน

หากพิจารณาอย่างถ้วนถี่ ไม่ว่าจะเป็นใบไม้ กิ่งไม้ หรือแม้แต่ดอกไม้ที่หลุดร่วงไป ล้วนทับถมอยู่ที่โคนต้น รอเวลาย่อยสลายกลายเป็นหนึ่งเดียวกันผืนดิน เป็นปุ๋ยหล่อเลี้ยงให้ต้นไม้เติบโตเข้มแข็งต่อไป ทั้งนี้ ต้นไม้ที่ไม่ยอมทิ้งใบย่อมแคระแกร็นฉันใด คนที่ไม่ยอมปล่อยวางอดีตย่อมเติบโตช้าฉันนั้น

ความสุขรออยู่เบื้องหน้า…นั่นคือความปรารถนา ความทุกข์ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง…นั่นคือความคาดหวัง

ทีนี้ กลับมาที่งานเฉลิมฉลองที่เพิ่งผ่านไปอีกครั้ง นอกจากภาพถ่าย ของฝาก และเรื่องเล่าระหว่างทางแล้ว คุณเก็บอะไรกลับมาอีกบ้าง อาการเมาค้าง? หรือตัวเลขติดลบในบัญชี? หรือ…

หากมีเวลานอกเหนือจากภารกิจในชีวิตประจำวัน ฉันขอให้คุณช่วยพิจารณาด้วยว่า มีใบไม้แห้งสีน้ำตาลที่ควรจะถูกสะกิดให้หลุดร่วงไปหรือเปล่า แล้วมีตุ่มตาสีเขียวของสิ่งใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นแผนงานที่เกิดจากแรงบันดาลใจระหว่างการเดินทาง กิจกรรมยามว่างที่สร้างสรรค์ หรือการพบปะสนทนากับบุคคลที่น่าสนใจ เหล่านี้ใช่สิ่งที่อยากจะให้ผลิบานเติบโตในชีวิตของคุณหรือเปล่า

แม้สถานการณ์ภายนอกจะดูเหมือนไม่เปลี่ยนแปลง แต่แทนที่จะซึมเซาโหยหาอาลัยกับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว เรามามองหาหรือสร้างสิ่งใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นกับตัวเอง ณ ที่นี่เดี๋ยวนี้กันเลยดีกว่าไหม ไม่ต้องรอให้มือมืดมาผลักเราออกไปแสวงหาจากข้างนอกในโอกาสหยุดยาวครั้งหน้า ซึ่งบางทีกว่าจะถึงวันนั้น ต้นไม้ในกระถางของเราอาจจะเฉาตายอย่างแท้จริงไปก่อนก็ได้


ภาพประกอบ

มะลิ ณ อุษา

ผู้เขียน: มะลิ ณ อุษา

คือ...ผู้หญิงธรรมดา รักการเดินทางพอๆ กับการอยู่บ้าน แต่ที่รักมากกว่า คือ การเรียนรู้ชีวิต วันดีคืนดี คุณอาจเห็นเธอนั่งวาดภาพอยู่ข้างถนน อ่านบทกวีอยู่ในกระโจมกลางป่า สอนหนังสือเด็กๆ ในชนบท ปลูกต้นไม้ในสวนเล็กๆ หรือนวดแป้งอยู่หน้าเตาดิน ไม่ต้องแปลกใจ เธอทั้งหมดคือคนๆ เดียวกัน