ยามที่เรามีบาดแผล หนทางรักษาคือ การทำความสะอาดบาดแผล สิ่งสกปรกที่แฝงฝังอยู่ต้องถูกชะล้าง เพราะหากมีหนองหรือสิ่งสกปรกที่ทำความสะอาดไม่หมด การรักษาก็จะไม่เกิดขึ้น หลายคนเข้าใจว่า การรักษาเกิดขึ้นจากการทำความสะอาด การใส่ยาฆ่าเชื้อโรค แต่แท้จริงแล้วยารักษาที่แท้จริงคือ พลังชีวิตจากร่างกายของเราที่ทำงานดูแลรักษาร่างกาย การทำความสะอาด การใส่ยาฆ่าเชื้อก็เพื่อให้พลังชีวิตทำงานได้เต็มที่นั่นเอง
พร้อมกันนี้ หากว่าเราเคยประสบเหตุรุนแรงที่กระทบกระเทือนจิตใจ พลังชีวิตในตัวเราอันเนื่องสัญชาตญาณความอยู่รอดและการปรับตัวเพื่ออยู่รอด ก็จะช่วยเราค้นหาหนทางเพื่อรับมือกับเหตุการณ์สะเทือนจิตใจ อาจโดยการใช้กลไกทางจิตวิทยา เพื่อให้เรามีชีวิตและอยู่ต่อไปได้
เราทุกคนต่างประสบหนทางชีวิตที่ล้วนไม่ราบรื่น สิ่งต่างๆ รอบตัวเป็นโลกที่เราคาดการณ์อะไรไม่ได้ ทุกอย่างสามารถมีเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดอะไรขึ้นก็ได้ สิ่งที่เราทุกคนพยายามทำคือ การสร้างแบบแผนชีวิตขึ้นมา เพื่อใช้ดำเนินชีวิตและอยู่รอด แบบแผนชีวิตเพื่ออยู่รอด จึงเป็นเครื่องมือดำเนินชีวิต เพียงแต่ แต่ละคนก็อาจมีแบบแผนชีวิตนี้คล้ายคลึงหรือแตกต่างกันไป เช่น หลายคนที่เคยผิดหวังในความสัมพันธ์อาจเลือกที่จะเสี่ยงหรือค้นหาวิธีการสร้างสัมพันธ์แบบอื่น กลายเป็นคนเข้าสังคมเก่ง หรือบางคนอาจเลือกถอนตัวและหลีกหนี กลายเป็นคนหลีกหนีความสัมพันธ์
ในทุกแบบแผนชีวิตเพื่ออยู่รอดต่างมีราคาที่ต้องจ่าย บ่อยครั้งความเชื่อมโยงทำให้เราเจ็บปวด หลายคนเลือกถอนตัว แยกตัวออกจากผู้คน ออกจากความสัมพันธ์ ออกจากสิ่งที่เขาเรียกว่า ปัญหา หรือ ความทุกข์ แต่นั่นก็ทำให้เราโดดเดี่ยว และเมื่อเราโดดเดี่ยวก็ไม่ยากที่ความเหงา เศร้า แปลกแยก จะเข้ามาเยี่ยมเยือน นี่คือราคาต้นทุนที่ซ่อนอยู่ ความเจ็บปวดจากความโดดเดี่ยวเข้ามาก่อกวน สิงสถิตในร่างกาย จิตใจ พร้อมกันนี้ความเจ็บปวดก็คือสัญญาณที่บอกเราว่า เราต้องการความสุข สันติ และเป็นสัญญาณที่บอกเราว่าคนอื่นก็เช่นเดียวกับตัวเราที่ต้องการสุขสันติ ความเจ็บปวดจึงเป็นสัญญาณย้ำเตือนถึงความต้องการในความเมตตา
เพื่อที่จะหว่านเพาะความกรุณา ความเมตตา ภายในจิตใจ สิ่งสำคัญคือ การรู้สึกถึงความเชื่อมโยงที่มีต่อกัน หากว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อน พี่น้อง ญาติมิตรของเรา ความเชื่อมโยงนี้ก่อเกิดได้ไม่ยาก แต่หากเรามีมุมมอง ทัศนคติ ที่มองอีกฝ่ายในเชิงแยกเขาแยกเรา แบ่งสีแบ่งฝ่าย ไม่รู้สึกถึงความเชื่อมโยง ไม่รู้สึกรู้สมกับความเป็นไปของอีกฝ่าย ก็เป็นการยากที่จะก่อเกิดความเมตตากรุณาต่อกัน โจทย์สำคัญจึงเป็นการเรียนรู้การเชื่อมสัมพันธ์ การฝึกฝนความมีเมตตากรุณาต่อกัน
หนทางของการตระหนักรู้ เท่าทันตนเองในแบบแผนชีวิตเพื่ออยู่รอด รวมถึงการเรียนรู้ที่บ่มเพาะความเมตตากรุณา จะค่อยๆ ช่วยให้เราได้เติบโตเป็นคนใหม่ พร้อมกับคุณสมบัติความเมตตากรุณาได้ค่อยๆ งอกเงยในตัวเรา นี่คือเราได้เคลื่อนย้ายชีวิตจากแบบแผนชีวิตเพื่ออยู่รอด เข้าสู่ แบบแผนชีวิตเพื่อการเติบโต เราเลือกที่จะใช้พลังชีวิตมาเพื่อการเติบโต สร้างสรรค์ชีวิตใหม่ที่มีความเมตตากรุณา ลดทอนการใช้พลังชีวิตไปเพื่อแค่เอาชีวิตรอด เราได้เติบโตและเข้มแข็งพอที่จะมีชีวิตที่มีคุณค่า มีความสุข แทนการมีชีวิตเพียงแค่เอาตัวรอด และต้องทุกข์ทรมานกับต้นทุนของแบบแผนชีวิตเอาตัวรอดแบบเดิมๆ
ในทุกแบบแผนชีวิตเพื่ออยู่รอดต่างมีราคาที่ต้องจ่าย บ่อยครั้งความเชื่อมโยงทำให้เราเจ็บปวด แต่การแยกตัวออกจากผู้คนก็ทำให้เราโดดเดี่ยว
คำถามคือ ทำอย่างไรเราถึงสามารถตระหนักรู้ และเท่าทันแบบแผนชีวิตเพื่อการอยู่รอดของเรา ทำอย่างไรเราจึงสรรค์สร้างแบบแผนชีวิตเพื่อการเติบโตให้งอกเงยในตัวเรา คำตอบคือ การเริ่มต้นที่จะเรียนรู้และเข้าใจตนเอง โชคดีที่ความรู้ ความก้าวหน้าด้านจิตวิทยาก็อาจช่วยให้หนทางนี้ง่ายดายขึ้น แต่กระนั้นหนทางสำคัญคือ การภาวนา: ศีล สมาธิ ปัญญา คือหนทางสำคัญ
คำถามต่อมาคือ นานแค่ไหน ทำอย่างไรให้หนทางการเติบโตเกิดขึ้นได้ คำตอบต่อคำถามนี้ ผู้เขียนขอหยิบยืมตัวอย่างคำตอบจากครูอาจารย์ ที่เคยตอบคำตอบนี้ด้วยนิทานเปรียบเปรยเรื่องหนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่า ในงานแต่งงานของลูกสาวซึ่งกำลังออกเรือนมีครอบครัว พ่อของเจ้าสาวจึงได้ร้องเพลงอันไพเราะเพื่ออวยพรชีวิตคู่ของลูกสาว ทุกคนต่างประทับใจและชื่นชมบทเพลง รวมถึงการขับร้องของพ่อเจ้าสาว แขกท่านหนึ่งอดใจไม่ไหวจึงได้ถามขึ้นว่า “เตรียมตัวอย่างไรบ้างสำหรับการร้องเพลงในโอกาสงานนี้” คำตอบจากพ่อเจ้าสาวคือ “ไม่มากหรอก แค่ 10 ปี”
สำหรับการเรียนรู้เพื่อการเติบโต การเดินทางสู่แบบแผนชีวิตเพื่อการเติบโต ไม่มีหนทางลัดสั้น หรือหนทางที่รวดเร็วแต่ประการใด มีแต่หนทางของการเรียนรู้ ฝึกฝน และบ่มเพาะตนเอง และนั่นอาจหมายถึงเวลาทั้งชีวิต เหมือนกับพ่อเจ้าสาวที่ใช้เวลานานมากเพื่อร้องเพลงได้ไพเราะ สิ่งสำคัญคือ หนทางและกระบวนการ เป้าหมายเป็นเพียงแค่ดาวเหนือที่ช่วยนำทาง และยิ่งหากเรามีอำนาจ เป็นผู้นำสังคม องค์กร หรือครอบครัว หากว่าเราถนัดและคุ้นเคยแต่แบบแผนชีวิตเพื่ออยู่รอด เราก็จะสร้างผลกระทบในทางลบแก่ผู้คนรอบตัว เหมือนที่เราได้ผลกระทบกับตนเอง
แบบแผนชีวิตเพื่อการเติบโต จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราสามารถสำรวจตรวจตราตนเอง เพื่อเราสามารถเป็นผู้นำที่ทำคุณประโยชน์ ไม่ใช่การเบียดเบียน