“สตรีผู้ถือตะเกียง” หมายถึง ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล เธอมีบทบาทสำคัญในฐานะผู้บุกเบิกและปฏิวัติงานการพยาบาล เธอสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยและผู้บาดเจ็บจำนวนมากจากภัยสงครามขณะนั้น ซึ่งที่ผ่านมามีอัตราการตายสูงมากจากการติดเชื้อ และขาดการปฐมพยาบาลในเบื้องต้น ผลงานและความสำเร็จของเธอมิใช่ได้มาโดยโชคช่วย หรือด้วยการสนับสนุนจากครอบครัว จากฝ่ายแพทย์ หรือจากใคร แต่มาจากความปรารถนา การอุทิศตัว ทุ่มเท และที่สำคัญเธอสร้างผลงานจากการทำงานในฐานะผู้ประกอบการ ที่อาศัยทักษะการสื่อสาร การประสานงาน วิชาการ ข้อมูลสถิติ และการใช้อำนาจที่มีอยู่ในตัวอย่างสร้างสรรค์
ในยุคสมัยของเธอ ความเป็นสตรีสูงศักดิ์มิได้ทำให้เธอมีอิสระในทางเลือกนัก เธอต้องถกเถียงทำงานความคิดหว่านล้อม เพื่อให้ครอบครัวเห็นชอบการเลือกตัดสินใจที่จะทำงานด้านการพยาบาล ซึ่งในยุคสมัยนั้นถือเป็นงานที่ไม่น่าชื่นชมหรือยกย่องนัก แต่ความเป็นตัวของตัวเอง และการมีวิสัยทัศน์ที่มองเห็นความสำคัญและความจำเป็นของงานการพยาบาล ทำให้เธอเลือกที่จะเรียนรู้ เข้าฝึกอบรม รวมถึงการฝึกหัดงานภาคสนามเพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่งานการพยาบาล
โชคไม่ได้ช่วยเธอ แต่เป็นเธอที่เรียนรู้และใช้โอกาสที่เข้ามาให้เป็นประโยชน์ ในภาวะสงครามสมัยนั้น ทหารจำนวนมากบาดเจ็บและล้มตายไม่ใช่เพราะสงคราม แต่ตายเพราะไม่ได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้น รวมถึงปัญหาด้านการขาดสุขอนามัยในสถานรักษาพยาบาล และการแพร่ระบาดของโรคระบาด สภาพดังกล่าวทำให้อัตราการตายพุ่งสูง ไนติงเกลเข้ามามีบทบาทสำคัญเริ่มจากการทำความสะอาดสถานที่ อุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ดูแลสถานพยาบาลให้เป็นที่น่าอยู่น่าอาศัย ด้วยการสร้างห้องอ่านหนังสือ ห้องสันทนาการ มีกิจกรรมสังคม มีการเยี่ยมเยียนพูดคุยปลอบขวัญจิตใจด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
และที่สำคัญ ไนติงเกลนำเอาการบันทึกข้อมูลอย่างละเอียดมาประกอบเพื่อบันทึกข้อมูลสำคัญ เช่น สาเหตุการเจ็บป่วย การตาย ปัจจัยที่กระทบสุขภาพ ทำให้งานการพยาบาลมีการดำเนินการอย่างเป็นระบบ มีข้อมูลสถิติสนับสนุนการตัดสินใจและวางทิศทางระบบงาน ดังนั้นแท้จริงแล้ว อาวุธของเธอจึงไม่ใช่ตะเกียงตามภาพลักษณ์ที่สื่อสาร แต่คือ เอกสารรวบรวมข้อมูล รวบรวมสถิติด้านสุขอนามัย ไนติงเกลเชื่อว่า วิชาสถิติคือเครื่องมืออย่างหนึ่งในการเข้าถึงพระประสงค์ของพระเจ้า
ไนติงเกลเป็นสตรีในครอบครัวที่มีฐานะดี ขณะที่ค่านิยมกรอบทางสังคมซึ่งกำหนดเส้นทางชีวิตของผู้หญิงสมัยนั้นคือ การแต่งงานมีครอบครัว เป็นแม่และภรรยา ส่วนการมีอาชีพการงานเป็นไปได้เท่าที่สังคมจะเอื้ออำนวย แต่ความปรารถนาและความรักในอาชีพการงาน ทำให้เธอเลือกกำหนดเส้นทางชีวิตเอง เลือกที่จะไม่แต่งงานเพื่อสามารถอุทิศตัวทำงานได้อย่างเต็มที่
ไนติงเกลใช้สิ่งเหล่านี้ซึ่งมีอยู่ในตัวเธอ คือ การอุทิศตัว การมีความรักในอาชีพการงาน ในวิสัยทัศน์ ความมุ่งมั่นตั้งใจและสติปัญญา ทั้งหมดนี้คือ “อำนาจภายใน” ช่วยขับเคลื่อนจนงานด้านการพยาบาลมีบทบาทสำคัญในวงการการแพทย์ อำนาจภายในนี้แท้จริงมีอยู่ในตัวเราทุกคน และอำนาจเหล่านี้สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจนเรื่องราวของเธอกลายเป็นตำนานด้านการพยาบาล ปราศจากอำนาจภายใน โลกนี้ก็อาจไม่ปรากฏชื่อของฟลอเรนส์ ไนติงเกล
เธอใช้อำนาจที่มีอย่างสร้างสรรค์ เพื่อทำประโยชน์แก่สังคม
ยุคสมัยที่สังคมชายเป็นใหญ่ ค่านิยมทางสังคม แรงกดดันของครอบครัวเป็น “อำนาจเหนือ” ที่มุ่งบังคับ กดดัน สั่งการเพื่อให้อีกฝ่ายต้องยอมทำตาม ปฏิบัติตามโดยใช้อำนาจบังคับด้วยความกลัว ด้วยการลงโทษ ดังนั้น การมีส่วนร่วม ความเสมอภาค การรับฟัง การเปิดใจรับรู้ เรียนรู้ รวมถึงการตรวจสอบ จึงเป็นสิ่งที่อำนาจเหนือไม่ต้องการ
และการที่ใครสักคนต้องยอมทำตาม ปฏิบัติตามในสิ่งที่อำนาจเหนือต้องการ ก็หมายถึงภาวะ “ไร้อำนาจ” ของอีกฝ่ายซึ่งคือ “อำนาจล่าง” เป็นภาวะที่อีกฝ่ายยอมยกอำนาจในตนให้กับฝ่ายอำนาจเหนือ สิ่งที่เกิดขึ้นจึงมีเพียงการเชื่อฟัง การกดดันบังคับ และความหวาดกลัว
ความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายอำนาจเหนือกับอำนาจล่าง แม้ภายนอกจะดูสงบ แต่ไม่ได้เป็นความสงบแท้จริงแต่อย่างใด ภายใต้พื้นผิวที่ดูสงบ เต็มไปด้วยแรงกดดัน ความเครียด ความคับแค้น และคับข้องใจ ที่รอโอกาสปะทุ ผู้มีอำนาจมักชื่นชอบการมีอำนาจเหนือ เพราะเหมือนตนมีความสามารถในการควบคุม บริหารจัดการ แต่แรงกดดันที่ซ่อนอยู่ ในที่สุดก็จะระเบิดปะทุจนแตกหักรุนแรงจากความกลัวที่กลายเป็นความโกรธ และเกลียดในที่สุด
สตรีผู้ถือตะเกียง ผู้นี้ เลือกใช้อำนาจภายในจนกลายเป็นตัวอย่างบุคคลสำคัญ ที่สร้างคุณูปการยิ่งใหญ่ให้กับวงการพยาบาลและสังคมโลก ขณะที่หน่วยงานรัฐ ผู้บริหารประเทศ โครงสร้างสังคมส่วนบน เป็นผู้มีอำนาจเหนืออยู่ในมือ แต่อาจไม่มีอำนาจแท้จริงในตน คือ อำนาจภายใน เพราะความเปราะบางในสติปัญญาจนมีแต่การพึ่งพิงอำนาจที่ระบบหรือสิ่งภายนอก ที่สำคัญเมื่อใครมีอำนาจเหนือในตัวมาก ภาวะที่มักเกิดขึ้นคือ ความหลงตัวและยึดถือตนเองเป็นศูนย์กลาง ซึ่งจะนำไปสู่การถูกทำลายในที่สุด
อำนาจ คือ ความสามารถในการเคลื่อนย้ายทรัพยากร เราทุกคนต่างมีอำนาจภายในตนเอง เรามีสติปัญญา มีความเมตตากรุณา และเราเรียนรู้ได้ รวมถึงความมีคุณค่า คุณธรรมในตนเอง สิ่งเหล่านี้เป็นอำนาจภายใน ที่เราสามารถใช้นำทางชีวิตทำสิ่งถูกต้องดีงามให้กับตนเองและสังคมรอบตัว
อย่าหลงโง่ไปกับอำนาจเหนือที่จะลากจูงไปสู่หายนะ แต่ใช้อำนาจภายในนำพาตัวเรา นำพาอำนาจเหนือหากว่าเรามี เพื่อนำทางไปสู่สิ่งสร้างสรรค์ ก็จะก่อคุณประโยชน์ยิ่งใหญ่กับตนเองและสังคมรอบตัวได้ ทั้งหมดจึงอยู่ที่ “เราใช้อำนาจอย่างไร”