เพียงประตูกั้น: ระหว่าง “บ้านแห่งชีวิต กับ มิตรผู้มาเยือน”

มะลิ ณ อุษา 17 มิถุนายน 2012

ช่วงนี้ ฉันกำลังออกแบบตำแหน่งประตูทางเข้าบ้าน โดยมีโจทย์เพียงข้อเดียวคือ ทำอย่างไรจึงจะสร้างความประทับใจเวลาที่เพื่อนๆ เปิดประตูเข้ามา

หลังจากที่ขบคิดมาหลายวันก็ได้คำตอบว่า ตรงตำแหน่งสายตา ฉันจะแขวนภาพวาดที่(คิดว่า)สวยที่สุดเอาไว้ เพราะหน้าต่างด้านขวามือ จะช่วยนำแสงยามบ่ายมาตกกระทบภาพวาดในองศาที่พอดิบพอดี อีกทั้งยังเชื้อเชิญสายลมพเนจรให้เข้ามาไกวชายม่านไหวๆ ด้วย บรรยากาศเช่นนี้คงสร้างความประทับใจได้ไม่น้อย

แน่นอนว่า หน้าต่างห้องรับแขกจะต้องเปิดทิ้งไว้ทั้งวัน และอาจจะทั้งคืนในวาระที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ส่วนด้านหลังที่เป็นครัว ฉันจะเปิดช่องไว้เพื่อให้กลิ่นขนมอบหรือเครื่องเทศหอมๆ ลอยเข้ามาอบอวลภายในบ้าน

มองย้อนกลับมาที่ชีวิต… บางแง่มุม ชีวิตคนเราก็เปรียบเสมือนบ้าน เป็นบ้านที่เปิดประตูต้อนรับเฉพาะคนที่เราชื่นชอบ และปิดประตูใส่หน้าคนที่เราเกลียดชัง (แต่ก็มีบางคนที่เราไม่ได้ตั้งใจจะเปิดประตูให้ เขาก็ยังเข้ามาได้ อันนี้เป็นข้อยกเว้นที่เราจะได้พูดถึงอีกครั้งในโอกาสต่อไป)

บางครั้งเราเปิดประตูรับคนบางคน แล้วก็มานั่งเสียใจภายหลัง เพราะกลายเป็นว่าเปิดประตูให้เขาเข้ามาทำร้ายจิตใจตัวเอง ซึ่งตอนนั้นเราอาจจะยังไม่ได้เรียนรู้ที่จะเปิดหน้าต่างเผื่อเอาไว้ และบางครั้งบางคราวเราก็อาจจะปิดประตูใส่หน้าใครสักคนด้วยความเข้าใจผิด ทั้งๆ ที่เราน่าจะเชื้อเชิญเขาเข้ามาในบ้านเพื่อโอภาปราศรัยเรียนรู้น้ำใจกัน กรณีนี้ก็นำมาซึ่งความเสียดายและเสียใจไม่น้อยไปกว่ากัน

ในแต่ละช่วงชีวิตของคนเรา จะมีผู้มาเยือน “บ้านแห่งชีวิต” มากหน้าหลายตา มีทั้งคนที่เพียงแค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป มีคนที่จากไปแล้วก็หวนกลับมาใหม่ มีคนที่นานๆ จะผ่านมาสักครั้ง แล้วท้ายที่สุดก็จากไปไม่หวนกลับมาอีก มีคนที่มายืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าประตู จากนั้นก็มาเป็นแขกประจำ และก็มีบางคนที่มาเยือนแล้วพักพิงอยู่ตลอดไป

พอลองนับนิ้วดูก็พบว่า ฉันมีผู้มาเยือนที่เรียกว่า “เพื่อน” เยอะมาก แต่มีคนที่เรียกว่า “กัลยาณมิตร” อยู่เพียงไม่กี่คน คุณอาจจะตั้งคำถามถึงเกณฑ์ที่ฉันใช้แบ่งระหว่างคำว่า เพื่อนกับกัลยาณมิตร คำตอบคือ ฉันไม่มีมาตรวัดหรือหลักเกณฑ์ใดๆ หรอก แต่สิ่งที่จะบอกได้ก็คือ ความแตกต่างของพื้นที่ภายในบ้านที่ฉันจะเปิดรับพวกเขาเข้ามา

ฉันมีเพื่อนที่เริ่มต้นรู้จักกันหลายสมัย บางคนรู้จักกันตั้งแต่ชั้นประถม บ้างก็มัธยม มหาวิทยาลัย และช่วงที่ทำงาน ซึ่งที่ผ่านมากาลเวลาและเหตุการณ์ในชีวิตก็ได้ทำหน้าที่คัดกรองคนที่จะมายืนอยู่หน้าประตูบ้านของฉันเป็นอย่างดี หากลองมองย้อนกลับไป แล้วใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง ฉันคิดว่าคุณเองก็คงจะค้นพบเช่นกัน มีหลายครั้งที่เหตุการณ์สำคัญๆ โดยเฉพาะเหตุการณ์เชิงลบได้ช่วยคัดกรองผู้คนที่เข้ามาสู่ชีวิต

ทุกวันนี้เพื่อนสมัยเรียนที่แวะเวียนมาเคาะประตูบ้านเหลืออยู่เพียง 2 คน ในห้องรับแขก เราพูดถึงความทุกข์และความสุขกันอย่างไม่ปิดบัง แต่เป็นเพราะการงานและความฝันของแต่ละคนแตกต่างกันออกไป เราจึงอยู่ห่างไกลกันมาก พื้นที่ภายในบ้านที่เราใช้ร่วมกันจึงมีเพียงห้องรับแขกที่ประดับประดาไว้เป็นอย่างสวยงาม และอาจจะไกลออกไปจนถึงห้องทำงานหรือห้องครัวบ้างเป็นบางครั้ง

เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมงาน เราสามารถพูดคุยถึงความทุกข์และความสุขได้อย่างไม่ปิดบัง พูดถึงความคับข้องใจทั้งต่องาน เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ และชีวิตส่วนตัว (บางเรื่อง) ต่างกับเพื่อนสมัยเรียนตรงที่ว่า นี่เป็นระยะที่ใกล้กันมาก บางเรื่องจึงควรถนอมและเก็บงำเอาไว้เพื่อรักษาสัมพันธภาพ

และกับเพื่อนบางคนที่อยู่ไม่ใกล้แต่ก็ไม่ไกลเกินไป มีความสนใจบางอย่างคล้ายกัน แต่ไม่จำเป็นต้องมีความใฝ่ฝันหรือบุคลิกภาพที่เหมือนกัน สิ่งสำคัญที่แตกต่างจากเพื่อนคนอื่นๆ ก็คือ การเปิดใจรับฟังทุกข์สุขของเราโดยไม่ตัดสิน และพร้อมที่จะสนับสนุนให้กำลังใจ ทั้งด้วยการกระทำ คำพูด และจิตใจ  เวลาที่รับฟังความสุขของเรา เขาก็จะฟังด้วยใจที่ชื่นชมยินดี แต่ก็ไม่ลืมที่จะตักเตือนไม่ให้หลงใหลได้ปลื้มกับความสุขนั้นจนเกินไป เวลาที่รับฟังความทุกข์ ก็ฟังด้วยความอดทนและอ่อนโยน และมีแง่มุมที่ทำให้เราได้ฉุกคิดหรือรู้สึกดีขึ้น ซึ่งฉันเรียกเพื่อนลักษณะนี้ว่า กัลยาณมิตร

หลายครั้งที่เหตุการณ์สำคัญๆ โดยเฉพาะเหตุการณ์เชิงลบได้ช่วยคัดกรองผู้คนที่เข้ามาสู่ชีวิต

ถ้าคุณมีเพื่อนที่พูดแต่สิ่งที่คุณอยากได้ยิน ไม่เคยพูดจาขัดหูหรือขัดใจกันเลยสักครั้งเดียว เข้าอกเข้าใจคุณดีทุกอย่าง ถึงไหนถึงกัน เป็นความสัมพันธ์ที่แสนจะราบรื่น และคุณก็มองว่านี่แหละคือกัลยาณมิตรที่แท้จริง ฉันขอแนะให้คุณลองทบทวนความสัมพันธ์กับเพื่อนคนนี้หรือกลุ่มนี้อีกสักครั้ง ฉันอาจจะคิดผิดและมองโลกในร้ายเกินไป แต่ฉันก็มีความเชื่อที่จะมารองรับข้อเสนอแนะของฉัน ฉันเชื่อว่า ไม่มีบ้านหลังใดที่สวยงามสมบูรณ์พร้อม จะต้องมีรูรั่ว สีกะเทาะ ประตูบวม ผนังร้าว หรือไม่ก็บางสิ่งบางอย่างที่ไม่น่ามองที่เจ้าของบ้านพยายามซุกซ่อนเอาไว้

คนเราก็เหมือนกัน ไม่มีใครที่จะสมบูรณ์พร้อมไปเสียทุกอย่าง คุณอาจจะหน้าตาดีแต่ขี้หงุดหงิดใจร้อน หรือมีการศึกษาสูงแต่มองคนอย่างตัดสิน หรืออาจจะจิตใจอ่อนโยนชอบช่วยเหลือคนอื่นแต่ยึดมั่นถือมั่นแบบสุดๆ ฯลฯ ถ้าคุณซื่อสัตย์ต่อตัวเอง คงเห็นข้อบกพร่องสักอย่างสองอย่างบ้างละ หรือถ้าไม่เห็น ก็มีคนที่จะเป็นกระจกเงาสะท้อนความจริงข้อนี้อย่างน้อย 2 กลุ่ม นั่นคือ คนที่รักและปรารถนาดีต่อคุณอย่างแท้จริง และ คนที่ไม่ชอบคุณหรือคุณไม่ชอบเขา ซึ่งคนกลุ่มหลังนี้ คุณคงไม่อยากเปิดประตูรับเขาให้เข้ามาวิพากษ์วิจารณ์บ้านของคุณหรอก แม้ว่าเขาจะสามารถสะท้อนให้เห็นความจริงบางแง่มุมก็ตามที

ฉะนั้น คนกลุ่มแรกนี่เองที่เรายินดีจะเปิดประตูให้เขาเดินเข้ามาในบ้านของเรา ชื่นชมความงดงามของบ้าน มุมที่ตกแต่งไว้อย่างประณีตบรรจง รวมถึงรอยบุบสลายหรือห้องใต้ดินที่แสนจะอับทึม และด้วยความปรารถนาดี เขาอาจจะจุดตะเกียงหรือเชื้อเชิญให้เราลองลงมือปัดกวาดห้องใต้ดินเสียบ้าง โดยเขายินดีจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่

หากคุณเป็นคนที่มักจะมองโลกในแง่ร้าย จนทำให้กลายเป็นคนขี้บ่น ขี้หงุดหงิดรำคาญ และไม่เห็นว่าพฤติกรรมนี้จะเป็นข้อเสียแต่อย่างไร ทำนองว่า “ฉันก็แค่พูดไปตามความจริงเท่านั้น ใครจะรับได้หรือไม่ได้ ฉันก็ไม่แคร์” กรณีเช่นนี้ กัลยาณมิตรจะเป็นคนที่รับฟังคุณอย่างอดทนและเข้าใจ แต่เขาจะไม่บอกว่า “ดีแล้ว ทำต่อไปเถอะ” เขาจะบอกกับคุณในทำนองที่ว่า “ดีแล้วที่เธอมองเห็นความจริงในแง่นั้น แต่ฉันคิดว่ามันก็น่าจะมีแง่มุมอื่นๆ อีกนะ อย่างเช่น…” คุณอาจจะรู้สึกหงุดหงิดยิ่งขึ้นที่ถูกขัดใจ คุณอาจจะดึงดันยืนยันหรือเริ่มเห็นคล้อย อันนี้ก็แล้วแต่ความเปิดกว้างของคุณเอง ฉันเพียงแต่บอกว่า ยังมีกัลยาณมิตรแบบนี้อยู่ อยากให้คุณมองเห็นและลองเปิดประตู (หัวใจ) ต้อนรับเขาเท่านั้นเอง

มาถึงตรงนี้ ฉันคิดว่า การที่ประตูบ้านอยู่ตรงไหนอาจจะไม่สำคัญเท่ากับการที่เราจะเปิดมันต้อนรับใคร และเพื่อให้เขาเข้ามาสู่ห้องใด เราอาจจะประณีตกับการตกแต่งบ้านเพื่อสร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือน แต่ก็อย่าลืมประณีตกับโมงยามที่มีอาคันตุกะอยู่ในบ้านของเราด้วย เพราะในขณะที่เราเรียกเขาว่าเป็นกัลยาณมิตรนั้น หมายความว่า เราเองก็ควรจะเป็นกัลยาณมิตรของเขาด้วยเช่นกัน

และจะด้วยความรู้สึกตัวหรือไม่ก็ตามที ตอนนี้คุณกำลังนั่งอยู่ในห้องรับแขกของฉันแล้วล่ะ


ภาพประกอบ

มะลิ ณ อุษา

ผู้เขียน: มะลิ ณ อุษา

คือ...ผู้หญิงธรรมดา รักการเดินทางพอๆ กับการอยู่บ้าน แต่ที่รักมากกว่า คือ การเรียนรู้ชีวิต วันดีคืนดี คุณอาจเห็นเธอนั่งวาดภาพอยู่ข้างถนน อ่านบทกวีอยู่ในกระโจมกลางป่า สอนหนังสือเด็กๆ ในชนบท ปลูกต้นไม้ในสวนเล็กๆ หรือนวดแป้งอยู่หน้าเตาดิน ไม่ต้องแปลกใจ เธอทั้งหมดคือคนๆ เดียวกัน