วิทยาศาสตร์ใหม่อธิบายว่า ระบบของจักรวาล ระบบของโลก และระบบร่างกายของมนุษย์ เป็นระบบเดียวกัน หลายครั้งที่เรามักได้ยินคำอธิบายในภาษาไทย ที่เราเรียกภาวะนั้นว่า ระบบเสี้ยวส่วน อันหมายถึง มนุษย์คือเสี้ยวส่วนของจักรวาล ซึ่งเรื่องนี้ไปพ้องกับการแพทย์จีนโบราณ ซึ่งพูดถึง ฟ้า ดิน และมนุษย์ และทฤษฎีนั้นได้อธิบายถึงความเชื่อมโยงของ ฟ้า (จักรวาล) ดิน (โลก) และมนุษย์ ด้วย ชี่ (氣)
เมื่อระบบของสรรพสิ่งทั้งมวลเป็นแบบเดียวกัน มันจึงเชื่อมโยง และส่งผลถึงกันโดยตรง ง่ายๆ ก็คือ เมื่อโลกร้อน มนุษย์ก็ย่อมรู้สึกร้อน เมื่อหนาว ก็รู้สึกหนาว อย่างนี้เป็นต้น เมื่อความสมดุลของจักรวาลเสียไป โลกก็ขาดสมดุลไปด้วย และมนุษย์ก็สูญเสียความสมดุลไปพร้อมกัน เช่นภัยพิบัติ หรือโรคภัยใหม่ๆ เป็นต้น
ไม่รู้ว่านานเพียงใดแล้ว ที่เราเหล่ามนุษย์จัดวางชีวิตของเราอย่างแยกส่วนจากสิ่งอื่น แม้จะมีทฤษฎี แนวคิด หรือหลักปรัชญาใดใด ที่พยายามจะอธิบายว่า เราล้วนเป็นส่วนหนึ่งของสรรพสิ่ง เราล้วนเชื่อมโยงกับโลกและจักรวาล แต่หลายครั้งที่เรารู้สึกว่า นั่นก็เป็นแนวคิด หรือทฤษฎีที่น่าสนใจ แต่เราก็หาได้หลอมรวมตัวเราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสรรพสิ่งนั้นไม่
เรายังแปลกแยกออกจากโลก ด้วยความพยายามที่จะสร้างพื้นที่ปลอดภัยส่วนตัว เราเลือกสิ่งที่จะรับรู้ เราเลือกที่จะฟัง เราเลือกที่จะบริโภค เฉพาะส่วนที่เราสบายใจ ส่วนที่ประทังชีวิตเราไปได้ นั่นเองที่ทำให้เราละเลยที่จะสัมผัสรับรู้ความเชื่อมโยงที่เรามีต่อฟ้า และดิน รวมไปถึงมนุษย์คนอื่นๆ
หลายครั้งที่เราพบว่า เราพยายามหลีกหนีจากความจริงที่เจ็บปวดบางอย่าง เช่น เมื่อเราเห็นความเจ็บปวดของผู้คน ลึกๆ เรารู้สึกเจ็บปวด แต่เราพยายามกลบเกลื่อนมันเสีย หรือไม่เราก็มีอคติ ที่พยายามหลอกตัวเองถึงความชอบธรรมในความเจ็บปวดนั้น แล้วเราก็พยายามอย่างที่สุดที่จะยกตัวเองออกจากความเจ็บปวดนั้น
เมื่อโลกเจ็บปวด ด้วยความผันผวนของพลังงานทั้งหลาย เรารู้สึกเจ็บปวด แต่เราก็พยายามปิดกั้นตัวเองเสียจากความจริงนั้น ด้วยการพยายามสร้างทฤษฎีหรือวิธีคิดบางอย่าง เพื่อจะยกตัวเองออกจากสถานการณ์นั้น
เช่นภาวะของโลกที่เป็นอยู่ตอนนี้ มีน้อยคนนักที่จะยอมรับว่ามันกำลังเกิดขึ้น นั้นคือโลกร้อน น้ำแข็งขั้วโลกกำลังละลาย น้ำทะเลสูงขึ้น และมันหมายถึงในไม่ช้านี้ จะต้องเกิดการอพยพอย่างมโหฬารของมนุษย์ หลายที่หลายแห่ง ทะเลได้สูงขึ้น แต่โทรทัศน์ยังบอกว่า นั่นคือภาวะน้ำทะเลกัดเซาะตลิ่ง แต่ในการพยายามหลบเลี่ยงความจริงนั้น ก็มีคนไม่น้อยที่พยายามสร้างทางถอยหรือทางรอดให้ตัวเองไว้ เช่นการย้ายบ้านไปอยู่ที่สูงตามต่างจังหวัด เป็นต้น
เราเลือกที่จะรับรู้ รับฟัง และบริโภค เฉพาะส่วนที่เราสบายใจ นั่นทำให้เราละเลยที่จะรับรู้ความเชื่อมโยงที่เรามีต่อธรรมชาติ
การแพทย์โบราณบอกว่า ภาวะปรกติของร่างกาย คือความสมดุลของธาตุ ต่อเมื่อมีบางสิ่งเสียสมดุล อันเป็นผลมาจากมีบางสิ่งมากไปและบางสิ่งพร่องไป นั่นแปลว่าเจ็บป่วย วิธีแก้คือการปรับความสมดุล ร่างกายก็จะกลับสู่ภาวะปรกติ
ฟ้าและดินก็แบบเดียวกันนี้ เมื่อบางสิ่งมากเกินไป ก็ย่อมทำให้เกิดการกดข่มให้บางสิ่งน้อยลงหรือพร่อง นั่นคือการเสียสมดุล นั่นก็คือความเจ็บป่วย หากไม่ได้รับการแก้ไข ความเจ็บป่วยนั้นก็เรื้อรัง และในที่สุดก็ไม่สามารถเยียวยาได้ นั่นก็คือการสิ้นไปของอายุขัย และนั้นก็คงเป็นการปรับสมดุลในที่สุด
ดั่งเดียวกับที่ปราชญ์ทางเกษตรธรรมชาติเคยกล่าวไว้เมื่อนานมาแล้วว่า เมื่อป่าหายไป หญ้าจะขึ้นมาครองพื้นที่ เพื่อรักษาผืนดินเอาไว้ แต่หากผืนดินใดที่หญ้าไม่สามารถรักษาพื้นที่ได้ นั่นคือการไร้ชีวิตของผืนดินนั้น
นี่ย่อมเป็นเรื่องเดียวกัน เมื่อฟ้าเสียสมดุล ฟ้าก็จะเกิดภาวะบางอย่างเพื่อปรับสมดุล เมื่อฟ้าเสียสมดุล ส่งผลให้ดินเสียสมดุล อันก่อให้เกิดการเสียสมดุลในมนุษย์ ภาวะเช่นนั้น ฟ้าย่อมมีปรากฏการณ์บางอย่างเพื่อพยายามปรับสมดุล อันส่งผลต่อการปรับสมดุลของดิน และส่งผลต่อมนุษย์ การเกิดขึ้นของบางสิ่ง หรือความดับไปของบางสิ่ง ทั้งหมดนั้นย่อมไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ หรือไร้เหตุผล
วิทยาการ ความรู้ ระบบสังคม การศึกษาทั้งมวล นำพาเราออกจากความเชื่อมโยงทั้งปวงนั้น เราเผชิญกับปัญหาที่ดูหลากหลายและซับซ้อนขึ้น จนหลายครั้งเราท้อแท้ทอดอาลัย เพราะไม่ว่าจะพยายามหนีหรือแก้ปัญหาอย่างไร เราก็ก้าวไปไหนได้ไม่ไกลนัก หรือบางครั้งเราก็กดมันเอาไว้ ปิดทับไว้ไม่ให้ตัวเองมองเห็น แต่เราก็มักจะรู้อยู่แก่ใจตัวเองว่า ปัญหานั้นไม่ได้รับการแก้ไข
จนกว่าเราจะเห็น และเข้าใจความเชื่อมโยงของตัวเรากับสรรพสิ่ง เราอาจมองเห็นชีวิตในแง่มุมที่ต่างออกไป การเรียนรู้ในกระบวนการของฟ้า ดิน และมนุษย์ ความเข้าใจในระบบหรือความเป็นเสี้ยวส่วน จะทำให้เรามองเห็นชีวิต มองเห็นภาวะสมดุล หรือการเสียสมดุล
นั่นจะเป็นหนทางที่แท้ที่ทำให้เราได้สร้างหนทางที่จะนำไปสู่ความสมดุลได้ หรือถึงไม่ได้ เราก็จะเข้าใจกระบวนการที่เป็นไปของจักรวาล ว่าก็โดยเฉพาะสิ่งที่ไม่สามารถแก้ไขได้แล้ว เราย่อมมองเห็นความจริง และปรับเปลี่ยนชีวิตได้ตามสมควร นั่นเอง