เพื่อนนั้น…สำคัญไฉน

ปรีดา เรืองวิชาธร 14 กุมภาพันธ์ 2004

เรื่องระหว่างผมกับเพื่อนที่จะเล่าถึงนี้แม้ดูเป็นเรื่องส่วนตัว แต่บางทีอาจไปตรงกับประสบการณ์หรือมีความหมายกับใครบางคนบ้าง  ผมเองมีเพื่อนที่สนิทใจน้อยนัก ส่วนคนที่รู้จักกันธรรมดานั้นมีไม่น้อยเลย แต่จำนวนที่มากนั้นจะมีความหมายมากมายกับชีวิตผมก็หาไม่ ยิ่งชีวิตช่วงปีสองปีนี้รู้สึกมีเรื่องทุกข์ร้อนใจที่จำต้องเก็บงำไว้ภายในมากมายเหลือเกิน หาที่ทางปรับทุกข์โศกได้ยากเต็มที จะหาใครที่ใจกว้างพอรับฟังเราอย่างลึกซึ้ง เพื่อเข้าถึงความรู้สึกนึกคิดไม่ว่าร้ายหรือดี เป็นความเปลี่ยวเหงาเดียวดายท่ามกลางสังคมที่พลุกพล่าน ผมเชื่อว่ามีคนไม่น้อยเลยที่เป็นเช่นเดียวกับผม

แล้วจู่ๆ ในปีนี้เองผมก็พบเพื่อนที่ผมดั้นด้นแสวงหามานาน เป็นการพานพบที่ต้องลงทุนสูงทีเดียว ท่านที่ว่านี้รู้จักกันมานานไม่น้อยกว่าสิบสี่ปี แต่เพิ่งจะเริ่มสัมผัสได้ถึงความเป็นเพื่อนกันปีนี้เอง เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ท่านมีสถานภาพเป็นทั้งเจ้านายสูงสุดในแง่หน้าที่การงาน เป็นครูบาอาจารย์ที่ผมเคารพในความรู้ความสามารถ เป็นคนที่ผมรู้สึกว่า มีอำนาจมาก แม้วัยก็มากกว่าผมร่วม 40 ปี ปัจจัยเหล่านี้มันมากพอที่จะทำให้ผมมีระยะหรือช่องว่างกับท่านห่างกันเป็นโยชน์ และยังเป็นที่มาของความกลัวสารพัดเวลาที่ต้องเข้าใกล้ท่าน ผมไม่เคยนึกภาพออกเลยว่า เราจะเป็นเพื่อนกันได้อย่างไร

แต่แล้วมันก็น่าฉงนที่ท่านกลับออกปากกับผมเพื่อให้มีโอกาสใกล้ชิดมากขึ้น นับเป็นช่วงเวลาที่ได้พูดคุยในเรื่องที่ผมอยากรู้อยากเห็น ได้สารภาพเรื่องราวภายในที่ผมเก็บงำไว้นาน การตอบสนองของท่านที่ทำให้ผมรู้สึกซาบซึ้งที่สุด ไม่ใช่อยู่ที่คำเตือนสติหรือคำแนะนำ (ซึ่งมีคุณค่ามากมายในตัวอยู่แล้ว) หากแต่อยู่ที่การลดตัวเองลงมาหาเด็กรุ่นหลังอย่างเสมอบ่าเสมอไหล่ ให้เวลาเพื่อรับฟังผมอย่างเต็มที่ (มากพอที่ผมต้องการจะขอพูดคุย ทั้งที่ท่านมีภารกิจมากมายและเป็นคนมีชื่อเสียงที่ใครๆ ต้องการเข้าหา) และรับฟังได้ทั้งเรื่องดีและไม่ดี โดยเฉพาะท่านใจกว้างมากต่อความผิดพลาดของมนุษย์ ผมรู้สึกได้ว่า ท่านเข้าถึงความรู้สึกนึกคิดของผมเกือบทั้งหมด จริงอยู่แม้ว่า คำแนะนำตักเตือนจะมีคุณค่ามหาศาล แต่บางครั้งบางเวลาเรากลับต้องการเพียงการรับฟังรับรู้อย่างเข้าอกเข้าใจเราเท่านั้น

สำหรับเพื่อนผมท่านนี้ แม้ว่าโอกาสที่ได้พูดคุยจะมีไม่กี่ครั้ง แต่สิ่งสำคัญกลับอยู่ที่คุณภาพของการพูดคุยในแต่ละครั้งต่างหาก ซึ่งคุณภาพที่ว่านี้เป็นคนละเรื่องกับการพยายามสื่อสารกันให้มากเข้าไว้ตามคำโฆษณาสินค้าที่เราได้ยินบ่อยครั้ง โอกาสพูดคุยแต่ละครั้งที่ผ่านไปมันทำให้ผมไว้วางใจที่จะพูดอะไรได้ลึกและกว้างยิ่งขึ้นๆ กล้าหาญมากขึ้นเรื่อยๆ ที่จะซักถามในเรื่องที่ขัดข้อง ในเรื่องที่อยากรู้อยากเห็น และได้รับคำเตือนสติและรับคำแนะนำทั้งในแง่ชีวิตและงาน แถมยังได้รับความชื่นชมยินดีในความก้าวหน้าของผมอีกโสตหนึ่งด้วย นี้แลที่ทำให้ช่องว่างระหว่างผมกับท่านเริ่มหดแคบลง อย่างไรก็ตาม ความกว้างของช่องว่างก็ยังคงมีอยู่มากแน่นอน

แม้คำแนะนำตักเตือนจะมีคุณค่ามหาศาล แต่บางเวลาเรากลับต้องการเพียงการรับฟังอย่างเข้าอกเข้าใจเท่านั้น

ผมเข้าใจว่า การลดตัวลงมาอย่างเสมอบ่าเสมอไหล่ของผู้ใหญ่อย่างท่านนี้ มันได้ทำให้ความทุกข์ร้อนใจของผมได้หลั่งไหลระบายออกมาเต็มที่ บางจังหวะก็ช่วยกะเทาะเปลือกอันแข็งกระด้างที่ห่อหุ้มการตระหนักรู้ชัดถึงชีวิตจิตใจภายในของตัวเองมานานแสนนาน ให้เข้าใจชัดถึงเนื้อตัวแท้ๆ ของเราและนำไปสู่การรู้จักแสวงหาวิธีการแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง แม้ศักยภาพที่ซ่อนเร้นภายในก็ถูกกะเทาะให้ปรากฏเห็นแววออกมา เป็นที่ประจักษ์ทั้งแก่ตนเองและคนอื่น ซึ่งหลายครั้งเราแทบไม่เคยรู้เท่าทันในอุบายวิธีในการกะเทาะเปลือกนั้นเลย ที่สำคัญยิ่งประการหนึ่ง ผมเชื่อมั่นว่า เรื่องราวความทุกข์เจ็บปวดของผมนี้ในทางตรงข้าม ย่อมเป็นประโยชน์กับท่านในแง่เป็นบทเรียนชีวิตให้กับท่านได้ อย่างน้อยบางเรื่องที่เป็นความทุกข์ของมนุษย์ทุกยุคสมัยที่ยากจะข้ามพ้นได้ แม้ท่านเองก็เถอะ

ผมอยากบอกอย่างมั่นใจว่า ที่คุณภาพของความเป็นเพื่อนเป็นไปอย่างลึกซึ้งกินใจ ทั้งที่มีโอกาสและเวลาไม่มากนัก ก็เพราะว่าท่านให้ความสำคัญกับผมอย่างจริงใจ และผมรับรู้ถึงคุณค่าที่ได้รับนี้  ดังนั้นในกรณีของผมเวลาที่มากมายจึงไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญ การให้ความสำคัญและลดตัวเองลงมามันทำให้ผมรู้สึกเคารพตัวเองได้มากขึ้น และรู้สึกมีคุณค่าความหมายต่อผู้อื่นในแง่ที่จะนำเอาสิ่งที่เปลี่ยนแปลงภายในไปแบ่งปันหรือทำประโยชน์ให้กับสังคมต่อไป  อีกด้านหนึ่งผมตระหนักดีว่า การลดตัวเองและให้ความสำคัญกับเราอาจจะขาดๆ หายๆ หรือขึ้นๆ ลงๆ คงไม่เป็นไปดังนี้ทุกช่วงเวลา ซึ่งต้องคอยเตือนตนเองอยู่เสมอว่าไม่ควรไปหลงยึดมั่นถือมั่นไว้ อย่างไรก็ตาม ความข้อนี้ก็ไม่ควรเป็นเหตุให้เราขลาดกลัวและไม่วางใจต่อการแสวงหาเพื่อนที่ดี

ดังที่ผมบอกในตอนต้นแล้วว่า การพบพานเพื่อนท่านนี้ต้องลงทุนสูงมาก ผมต้องใช้ความกล้าหาญมากทีเดียวที่จะเอาชนะกำแพงที่บดบังความเป็นเพื่อน ไม่ว่าจะเป็นสถานภาพที่ผมหลงยึดมั่นถือมั่นว่าท่านอยู่สูงและไกลเกินที่จะเข้าถึง ภาพลักษณ์ที่เต็มไปด้วยอำนาจซึ่งทำให้ผมและหลายคนเกิดความกลัวเป็นเจ้าเรือน การหลงเข้าใจไปเองว่าท่านมีภาระมากมายคงไม่อยากเสียเวลากับคนเล็กน้อยอย่างเราหรอก เวลาที่ดูยุ่งเหยิงพันตูกับการทำงานของผมเอง และที่สำคัญที่สุดก็คือ ความไม่กล้าเสี่ยงที่จะไว้วางใจคนอื่นก่อน ปัจจัยเหล่านี้เป็นอุปสรรคขัดขวางการก้าวข้ามพรมแดนเพื่อเข้าถึงความเป็นเพื่อน โดยไม่จำต้องหมายถึงคนวัยเดียวกัน เล่นหัวกันอย่างสนิทใจมานานเท่านั้น  ดังนั้นผมจึงได้เรียนรู้ว่า ความเป็นเพื่อนไม่ควรจะถูกจำกัดด้วยวัย และสถานภาพที่แตกต่างกัน (พ่อแม่กับลูก พี่กับน้อง เจ้านายกับลูกน้อง คนจนกับคนรวย แม้กระทั่งมิตรกับศัตรู) ความยึดมั่นถือมั่นภายในของแต่ละคน ความเป็นส่วนตัวที่มากขึ้นเรื่อยๆ จากวิถีชีวิตในสังคมสมัยใหม่หรือปัจจัยใดก็สุดแท้ แต่ควรขวนขวายแสวงหาเพื่อนดีด้วยการลงทุนอะไรบางอย่าง ซึ่งแต่ละคนก็ย่อมมีสิ่งที่ต้องลงทุนแตกต่างกันไป


ภาพประกอบ

ปรีดา เรืองวิชาธร

ผู้เขียน: ปรีดา เรืองวิชาธร

สนใจและศึกษาเรื่องการเรียนรู้แนวจิตวิญญาณและกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม โดยเป็นกระบวนกรให้กับเสมสิกขาลัยนับแต่ปี 2546 จนถึงปัจจุบัน