นับแต่ลูกๆ เริ่มโต ยายก็ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมาเกือบครึ่งชีวิต
จนเมื่อราว 10 กว่าปีมานี้ ยายเริ่มเข้าสู่วัยที่ต้องมีคนดูแล แม่จึงรับยายมาอยู่ด้วยกัน
…
มาอยู่ที่บ้านเรา ยายยังคงหยิบจับ ทำโน่นนี่อยู่ตลอดเวลาอย่างคนที่คุ้นเคยอยู่กับการทำงาน
ถากหญ้ารอบๆ บ้าน กวาดใบไม้ เห็นลูกหลานทำอะไรเป็นต้องเข้ามาหยิบจับร่วมทำด้วย
นานวันเข้ายามจะเดินออกไปนอกชายคา ยายต้องพึ่งไม้เท้า
ต่อมายายเดินเองไม่ไหว ได้แต่นั่งเจ่าอยู่บนแคร่หน้าระเบียงบ้าน
ใครผ่านไปมาหน้าบ้านเราก็จะเห็นยายนั่งอยู่ตรงนั้น
กี่ครั้งกี่วันกี่เดือนกี่ใครผ่านไปมา ก็จะเห็นยายนั่งอยู่ตรงนั้นเหมือนฉากหนังที่หยุดนิ่งของตัวละครวัยหนุ่มสาวที่ยังเคลื่อนไหวว่องไว
…
ตอนพายายไปโรงพยาบาลอำเภอ หมอจบใหม่ยังซักแม่อย่างฉงนว่า มีใครผลักยายหรือเปล่า
หมอคนรุ่นใหม่เข้าใจไม่ได้ว่าอยู่ๆ คนแก่จะทรุดล้มลงเองได้อย่างไร
แม่ต้องยืนยันหนักแน่นว่าตอนนั้นไม่มีใครอื่นอยู่ในบ้านเราแน่ๆ
ออกจากโรงพยาบาลมาแล้ว ยายอยู่กับการนอน ลุกนั่ง และถดไปโน่นนี่อยู่ภายในบ้าน
และจากนั้นมายายก็ดูชราลงมาก กระทั่งได้แต่นอนอยู่กับที่ในช่วงครึ่งปีหลัง
แต่สติและความจำของยายยังแจ่มใส
ยายจำอดีตได้นานไกล จำคนที่มาเยี่ยมและพูดจาโต้ตอบได้รู้เรื่องเช่นคนปรกติ
สายตาก็ยังดี ผีเสื้อตัวใหญ่บินเข้ามาเล่นแสงไฟในบ้านตอนกลางคืน ยายยังเรียกให้หลานมาดูว่านกอะไรบินเข้ามาในบ้าน
พอหลานบอกว่าเป็นผีเสื้อ
ยายบอก “อ้าว แมงบี้หรอกหรือ แม่เฒ่าแลผ่านหมอกก็นึกว่าเป็นนก”
หมอกฝ้าขาวๆ เหมือนควันไฟนั้น ยายว่ามันเริ่มกลบดวงตาแกมาหลายปีแล้ว
ช่วงหลังมายายรู้ตัวว่าความจำของตนเริ่มขาดเป็นห้วงๆ
ยายว่าบางทีก็เผลอพูดจาอะไรออกไปเองโดยไม่ได้ตั้งใจ พอรู้ตัวก็นิ่งเสีย
ที่เป็นมากคือยายจะร้องเรียกคนนั้นคนนี้อยู่ตลอดเวลาทั้งกลางวันกลางคืน
ลูกหลานขานรับกันจนเหนื่อย
…
บางทียามดึกดื่นก็เงียบเฉยทำเป็นหลับกันไปเสียบ้าง
เรียกหลายคำไม่ขาน ยายก็ตะโกนขึ้นกลางความมืด “มันไปไหนกันหมด หลับเหมือนตายแล้วกันทุกคน”
ลูกหลานก็ได้แต่อมยิ้มกันอยู่ในความมืด
หลานบางคนแทนที่จะขาน ก็แก้ลำแกล้งหยอกยายด้วยการเรียกคืน
ยายคงงง หยุดเรียกไปสักพัก แต่ไม่นานก็เรียกชื่อใครสักคนขึ้นอีก
ไม่ว่าจะขานตอบ จะขอร้อง จะเจรจาด้วยเหตุผลจนเป็นที่เข้าใจกันอย่างไร เว้นช่วงไปสักพักเป็นต้องได้ยินเสียงตะโกนเรียกของยายดังขึ้นอีก
ชื่อที่ถูกเรียกหาติดปากมากที่สุด เป็นหลานสนิทที่ยายเรียกเขาว่า “ไอ้บ่าว”
ยามไอ้บ่าวเดไม่อยู่บ้าน คนอื่นต้องคอยสวมรอยขานแทนตอบรับยาย
ตอนหลังมานี้ แม่แทบห่างยายไปไหนไม่ได้เลย-แม้แต่เข้าครัว พอไม่เห็นใครอยู่ในสายตาเสียงเรียกของยายก็จะดังขึ้นทันที
จนกว่าจะได้ยินเสียงขานตอบ หรือมีใครมาอยู่ใกล้ๆ
…
ตอนได้ยินเสียงยายร้องเรียก “ไอ้บ่าวๆ”
ข้าพเจ้าสวมรอยเป็นน้องชาย คอยขานรับ
สักพักยายเรียกอีก ก็ต้องคอยขานรับซ้ำๆ อย่างชวนขำขัน แต่มากเข้าก็พาลรำคาญยายบ้างเหมือนกัน
ยายเรียกหนักเข้า แม่ก็ดุให้บ้าง “เรียกทำไมนักเล่า?”
“เรียกให้มันจำได้นิ” ยายโต้ตอบไม่ลดละ
“ก็ขานอยู่นี่ไง” แม่ว่า
“ก็มันจำไม่ได้นี่นา…”
เสียงตัดพ้อของยาย ทำอารมณ์ต่างๆ ของข้าพเจ้าหายไปเป็นปลิดทิ้ง
ก็ยายเพียงแต่อยากจำลูกหลานไว้ให้ได้
จึงต้องคอยเรียกซ้ำๆ
เรียกซ้ำๆ ให้จดจำจนติดใจ-ไม่ลืม!
เกิดในครอบครัวชาวสวนยางจังหวัดกระบี่ ทำงานเขียนสารคดีมา ๒๐ กว่าปี มีผลงานกว่า ๓๐ เล่ม เคยได้รับรางวัลชนะเลิศ "ลูกโลกสีเขียว" (ปี ๒๕๕๑) รางวัลชนะเลิศ "เซเว่นบุ๊ค อวอร์ด" (ปี ๒๕๔๙ และ ๒๕๕๔) ปัจจุบันเป็นผู้ช่วยบรรณาธิการนิตยสาร "สารคดี" โดยยังคงเขียนสารคดีอยู่เป็นประจำ