ผู้หญิงคนหนึ่งพาลูกชายของเธอมาหามหาตมะ คานธี เธอขอให้ท่านช่วยลูกชายของเธอให้เลิกกินอมยิ้ม เพราะลูกเธอติดอมยิ้มมาก คานธีบอกกับเธอว่า อีกสองอาทิตย์ให้พาลูกชายมาใหม่ จากนั้นสองอาทิตย์ต่อมาเธอก็พาลูกชายมาอีกครั้ง แต่เรื่องไม่ได้เล่าว่า คานธีช่วยให้เด็กเลิกติดอมยิ้มได้หรือไม่ แต่เรื่องก็คือ เธอถามคานธีว่า ทำไมต้องรอสองอาทิตย์ค่อยพาลูกเธอมาใหม่ มหาตมะ คานธีบอกว่า ก็สองอาทิตย์ก่อน ฉันก็ยังติดอมยิ้มอยู่เลย
โลกของเรา มีคำสอนสำเร็จรูปมากมาย แล้วยังเป็นแบบแผนของความดี ซึ่งก็เป็นความดีสำเร็จรูป เป็นต้นว่า เราต้องไม่โกหก เพราะการโกหกไม่ดี เราต้องซื่อสัตย์ เพราะการโกงไม่ดี เราต้องรักกัน เพราะความเกลียดชังไม่ดี เราต้องสามัคคี เพราะความแตกแยกเป็นหนทางสู่ความวิบัติ เราต้องไม่เห็นแก่ตัว เพราะการช่วยเหลือผู้อื่นเป็นเรื่องดีงาม เราต้องมีเมตตาและเห็นอกเห็นใจคนอื่น เพราะนั่นเป็นเรื่องดีงาม เราต้องไม่โกรธ เพราะความโกรธเป็นทุกข์ เราต้องร่าเริงแจ่มใส
เราต้องกตัญญูรู้คุณ เราต้องเชื่อฟังพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ เราต้องตั้งใจเรียน เราต้องเก่งกว่าใคร เราต้องเป็นที่หนึ่ง เราต้องตั้งใจทำงาน เราต้องขยัน เราต้องประสบผลสำเร็จทางการงาน และรายได้ เราต้องรวยกว่าเพื่อน เราต้องเรียนรู้อย่างไม่มีวันสิ้นสุด และอะไรอื่นๆ อีกมากมายที่มันเป็นชุดคำสอนสำเร็จรูป
ทุกคนพูดได้ ท่องได้มาแต่เด็ก เราเห็นมันจากหนังสือเรียน เราได้ยินจากครู เราได้ยินจากพ่อ แม่ เราได้ยินมาจากเพื่อน เราได้เห็นเรื่องราวเหล่านั้นในโทรทัศน์ ถ้อยคำเหล่านี้ลอยอยู่รอบตัวเราตลอดมา คำสอนสำเร็จรูปเหล่านี้ถูกวางเป็นรากฐานของสังคม ไม่ว่าเราเป็นใคร เราจะได้ฟังคำสอนนี้ มันเป็นชุดคำสอนเดียวกันที่สืบทอดกันมาแทบจะทุกชนเผ่า และเราก็เชื่อตามนั้นเสมอมาว่า หากเราทำตัวเช่นนั้น เราก็จะได้เป็นคนดี นี่เป็นบรรทัดฐานหนึ่งของโลกกระมัง
แต่ความจริงที่ปรากฏอยู่ เราก็ได้พบว่า มันมีบางมุมบางด้านที่ต่างออกไป โลกยังเต็มไปด้วยการโกหก โลกเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา โลกเต็มไปด้วยการแก่งแย่งแข่งขัน โลกเต็มไปด้วยการกดขี่และการเอาเปรียบ โลกเต็มไปด้วยความเกลียดชัง และการเข่นฆ่า เรายินดีที่มีคนที่เราไม่ชอบถูกทำร้าย เราเห็นดีเห็นงามกับการกดขี่บางคน เรายินดีในความล่มจมของบางคน แต่ในภาวะเช่นนั้น เรากลับยังรู้สึกได้ว่า เราเป็นคนดี ทั้งนี้ เราไม่ได้เป็นคนดีเพราะเราทำตามคำสอนสำเร็จรูปนั้น เพียงแต่เรายังท่องจำคำสอนเหล่านั้นได้เสมอไม่เคยลืมต่างหาก
โลกของเรามีคำสอนสำเร็จรูปมากมาย ซึ่งเป็นแบบแผนของความดีที่ทุกคนท่องได้มาแต่เด็ก
ความจริงเกี่ยวกับปรากฏการณ์นี้อย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นภาพที่ชัดเจนก็คือ คนที่ถ่ายทอดคำสอนเหล่านี้ให้เรา หรือคนที่พร่ำสอนเรา พวกเขาไม่ได้เป็นอย่างที่เขาบอก เขาเพียงแต่ได้ยินได้ฟังมา แล้วก็เอาสิ่งเหล่านั้นมาสอนต่อ
มันเหมือนกับเป็นหน้าที่ว่าเขาจะต้องสอน และสิ่งที่เขาจะสอนได้ก็คือสิ่งที่เขาได้รับการสอนมาอีกที นั่นก็อาจไม่ได้ผิดอะไร เพราะนั่นคือทั้งหมดที่เขารู้ เขาไม่ได้เข้าถึงสิ่งที่ลึกลงไปในคำสอนเหล่านั้น แน่นอนว่า คนที่สอนเขามาก็ไม่ได้เข้าถึงสิ่งที่ลึกลงไปเช่นเดียวกัน และเมื่อถึงเวลาที่เราจะต้องสอนใครสักคน เราจะทำอะไรได้เล่า นอกจากบอกเล่าสิ่งที่เราเคยได้ยินได้ฟังมาทั้งหมดนั้นต่อไป เป็นอย่างนี้หลายชั่วอายุคน เราจึงกลายเป็นเพียงทางผ่านของถ้อยคำรับมาแล้วก็ส่งต่อ รับมา แล้วก็ส่งต่อ นี่คือวิถีอันดูเหมือนจะเป็นแบบแผนอันแสนจะธรรมดาของชีวิตไปเสียแล้ว
คนที่เข้าถึงคำสอนเหล่านั้นอย่างลึกซึ้งและปฏิบัติตามอย่างได้ผล จะมีอยู่หรือไม่ คำตอบก็อาจจะมี และนั่นจะทำให้สิ่งที่เขาส่งต่อมันได้ผล มันเกิดขึ้นจริง เมื่อเขาไม่โกหก แล้วสอนใครสักคนว่าอย่าโกหก นั่นย่อมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เพราะในวิถีของเขาไม่ได้มีเพียงถ้อยคำ แต่เขาสามารถปฏิบัติได้ การบอกเล่าของเขาจึงมีพลังมากพอ ที่จะทำให้คนที่รับสารต่อจากเขา ทำได้จริง
คานธีไม่อาจสอนให้เด็กเลิกกินอมยิ้ม ขณะที่ท่านยังติดอมยิ้มอยู่ ขณะที่พ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ จะสั่งสอนลูกหลาน ศิษย์หา ได้อย่างไร ขณะที่ตัวเขาเองยังไม่สามารถปฏิบัติตามคำพูดของตัวเองได้ แม้จะเป็นคำพูดที่ท่องจำมาก็ตาม
นัยหนึ่ง คำพูดอาจเป็นสิ่งมีความหมาย มันมีเหตุ มีผลอยู่ในคำสอนสำเร็จรูปเหล่านั้น แต่แน่นอนว่ามันไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ด้วยคำพูดเท่านั้น มันต้องอาศัยการลงมือฝึกฝนอย่างจริงจัง จะฝึกฝนอย่างไรคงไม่เอามาสาธยายในที่นี้ เพราะมันมีรูปแบบการปฏิบัติตั้งมากมายที่นำพาเราไปสู่การเปลี่ยนแปลง ลองหาดูสักนิดก็จะพบ หาไม่แล้ว คำสอนเหล่านั้นก็จะเป็นเหมือนน้ำในฤดูน้ำหลาก ที่ไหลมา แล้วก็ผ่านไป แล้วก็เป็นอย่างนั้นไปไม่รู้จักจบสิ้น ขณะที่โลก สังคม และผู้คนก็เผชิญโชคชะตากันไปอย่างยากลำบาก เต็มไปด้วยปัญหาที่พอกพูนขึ้นทุกวัน
ในชีวิตของเราอาจมีสักเรื่องไหม ที่เราจะได้ส่งต่อถ้อยคำด้วยความภาคภูมิใจว่า สิ่งนี้เราได้ทำมันสำเร็จแล้ว และมันเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง เราได้ส่งผ่านมันอย่างมีพลัง แข็งแกร่ง และชัดเจน เต็มปากเต็มคำ หรือเราจะเป็นเพียงคนที่พร่ำบอกคนอื่นว่าอย่าโกรธนะ โกรธไม่ดี และเมื่อเขาเกิดความโกรธ เราก็โกรธเขาที่เขาไม่เชื่อฟังเรา อย่างนั้น