mob-project-5-transcription-tape-2563-10-16

เครือข่ายพุทธิกา 4 ธันวาคม 2020

ถอดเทปแนะนำการปฏิบัติ

เช้าวันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม 2563

ปลุกสติออนไลน์ รุ่น 5


ขอต้อนรับสู่การปลุกสติออนไลน์ ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 5

เราเริ่มต้นกันวันนี้เป็นวันแรก  เราเริ่มต้นกันตั้งแต่เช้าเลย ตอนนี้แดดก็กำลังจะมา ท้องฟ้าเริ่มจะสว่าง หลายคนตื่นแล้ว แต่อย่าให้ตื่นแต่กายนะ ใจก็ตื่นด้วย บางคนกายตื่นก็จริง แต่ใจยังไม่ค่อยตื่นเท่าไร ยังงัวเงียอยู่บ้าง หรือบางคนอาจจะรู้สึกกังวล วิตกกับภารกิจการงานที่กำลังจะตามมาในตอนเช้า ตอนสาย

จริงๆ เมื่อเราตื่นขึ้นมาในบรรยากาศยามเช้าแบบนี้ ควรจะตื่นทั้งกายและใจ ใจเราตื่นได้ เพราะมีสติ มีสติเมื่อไรใจก็ตื่น หายงัวเงีย มีความกระปรี้กระเปร่า แต่ถ้าหากว่าไม่มีสติ แม้ว่ากายจะทำอะไรได้ตามกิจวัตร เช่น ถูฟัน อาบน้ำ แต่ว่าไม่ค่อยรู้เนื้อรู้ตัวเท่าไร บางทีทำไปก็เครียดไป ทำไปก็วิตกไป เพราะคิดนั่นคิดนี่

ในยามเช้าเป็นเวลาที่จิตใจเราควรจะสดชื่นแจ่มใส คือเป็นเวลาที่สติควรจะครองใจของเรา เพราะฉะนั้นอยากจะเชิญชวนให้ยามเช้า เราทำอะไรอย่างมีสติ ถ้าเราทำสิ่งต่างๆ อย่างมีสติ หรือเราปลุกสติขึ้นมาเพื่อให้มาร่วมกิจวัตรต่างๆ กับเรา มันจะเป็นเช้าที่สดใส จะเป็นเช้าที่ดี และจะนำไปสู่วันที่ดี วันที่ปลอดโปร่ง แม้จะมีภารกิจการงาน มีอุปสรรคมากมาย แต่ก็จะผ่านไปได้ด้วยดี

สติมีอยู่กับเราแล้ว แต่เราไม่ค่อยได้ใช้ และเราไม่ค่อยได้บำรุงดูแลส่งเสริมเท่าไร เราเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้เช้านี้เลย ทำง่ายๆ เวลาตื่นเช้าขึ้นมาเก็บที่นอน ก็ทำด้วยความรู้สึกตัว เวลาเราล้างหน้าถูฟันก็ทำด้วยความรู้สึกตัว อาบน้ำก็ทำด้วยความรู้สึกตัว

ทำด้วยความรู้สึกตัวหมายความว่าอย่างไร ก็หมายความว่าทำอะไร ใจก็อยู่ตรงนั่น ไม่ได้ไปอยู่ที่อื่น ระหว่างที่เก็บที่นอน ใจก็ยังไม่คิดถึงงานการที่รออยู่  ยังไม่ได้นึกถึงโทรศัพท์มือถือว่าจะมีใครส่งข้อความอะไรเข้ามา ยังไม่ต้องไปห่วงกับข่าวสารบ้านเมืองต่างๆ ให้ใจเราอยู่กับปัจจุบัน ใจเราอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับสิ่งที่เรากำลังทำ ตรงนี้แหละที่ทำให้เรามีสติ  หรือว่าสติก็จะกลับมาอยู่คู่กับใจของเรา

การเจริญสติหรือการฝึกสติ ทำได้ไม่ยาก ทำได้ทุกเวลา ทำได้ทุกสถานที่ และทำได้กับทุกกิจกรรม ทุกอิริยาบถ  และขาดไม่ได้ด้วย เพียงแค่เราเดินลงบันได ถ้าเราไม่มีสติ ใจลอย  คิดนั่นคิดนี่ก็อาจจะพลั้งตกบันได แข้งขาหักได้ เวลาข้ามถนน ถ้าเราข้ามอย่างไม่มีสติ เพราะกำลังคิดถึงเพื่อน กำลังคิดถึงลูกที่ป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล เราก็อาจจะโดนรถเฉี่ยวรถชนได้  เรียกว่าได้สวัสดิภาพของเรา สุขภาพของเรา และความปกติสุขของเราขึ้นอยู่กับสติมากเลย

ที่ผ่านมา แม้เราจะไม่มีสติในการกระทำหลายสิ่งหลายอย่าง แต่เราก็อยู่รอดปลอดภัยได้  นั่นเพราะความเคยชิน และเพราะโชคด้วย  แต่เราจะฝากชีวิต ฝากความสุข ฝากสวัสดิภาพของเราไว้กับความเคยชิน นั่นไม่พอ ต้องฝากไว้กับสติด้วย พยายามปลุกสติขึ้นมาให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของจิตใจของเรา เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของเรา ด้วยการเริ่มต้นทำอย่างที่อาตมาแนะนำ ทำอะไร ใจก็อยู่กับสิ่งนั้น แต่ไม่ได้หลงจมอยู่กับสิ่งนั้นจนหมดเนื้อหมดตัว  จนลืมเนื้อลืมตัว อันนั้นก็ไม่ใช่ เช่นทำงานแล้วใจดิ่งอยู่กับงานจนลืมเวล่ำเวลา ลืมเวลาพัก ลืมนัดหมาย บางทีลืมครอบครัว ลืมพ่อลืมแม่ อันนั้นก็ไม่ใช่ ต้องทำด้วยความรู้สึกตัวด้วย การเจริญสติมีหลักง่ายๆ คือ “ตัวอยู่ไหน ใจอยู่นั่น” นี่เป็นวิธีที่จะทำให้ใจอยู่กับเนื้อกับตัว อยู่กับปัจจุบัน

“ตัวอยู่ไหน ใจอยู่นั่น”  ตัวอยู่บ้าน ใจก็อยู่บ้าน อย่าเพิ่งปล่อยใจให้ลอยไปอยู่ที่ทำงาน  เวลาทำงานใจก็อยู่กับงาน อยู่ที่ทำงาน  อย่าเพิ่งปล่อยใจให้ไหลลอยไปอยู่ที่บ้าน มีบางคนเวลาทำงานก็เครียดวิตก เพราะใจเป็นห่วง นึกถึงลูกที่บ้าน ว่าจะมีใครดูแลไหม หรือว่ามัวแต่เล่นเกมออนไลน์จนไม่เป็นอันร่ำเรียนหนังสือ นี่ก็ใกล้สอบแล้ว

ตัวอยู่ที่ทำงาน แต่ใจนึกถึงลูกที่บ้าน ก็เลยเครียดวิตกกังวล งานก็เลยทำไม่ค่อยได้ พอกลับมาที่บ้าน แทนที่จะอยู่กับลูกด้วยใจเต็มร้อย ปรากฏว่าใจก็ไหลไปที่ทำงาน ห่วงงานที่ยังคาอยู่  ก็เครียดอีกแบบหนึ่ง พอเครียดวิตกกังวล บางทีก็เผลอว่าลูก ระบายอารมณ์ใส่ลูก ทั้งๆ ที่ลูกไม่รู้อิโหน่อิเหน่เลย อันนี้เป็นเพราะอะไร เพราะตัวกับใจอยู่คนละที่  ปัญหานี่แก้ง่ายๆ นะ เวลาตัวอยู่บ้าน ใจก็อยู่บ้าน อยู่กับลูก เวลาตัวอยู่ที่ทำงาน ใจก็อยู่ที่ทำงาน อย่าเพิ่งนึกถึงลูก งานก็ดี ลูกก็ดี สำคัญก็ดี แต่เราต้องวางใจให้ถูก ฝึกสติกัน ปลุกสติกันด้วยวิธีนี่แหละเป็นอย่างแรกเลย “ตัวอยู่ไหน ใจอยู่นั่น”

จริงอยู่ บางทีเราอาจต้องมีการวางแผน เราอยู่บ้าน เราอาจจะคิดถึงการวางแผนเกี่ยวกับการงานต่างๆ เรื่องที่ต้องไปประชุมที่สำนักงาน อันนั้นเราก็ทำได้ แต่ให้ทำอย่างมีสติ  พอเสร็จธุระแล้ว ใจก็กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว หรือกลับมาอยู่ที่บ้าน

แต่ส่วนใหญ่แล้ว เวลาเราทำอะไร เรามักจะทำด้วยกาย ใช้มือใช้ไม้ เช่น ทำครัว กวาดบ้าน ล้างจาน ก็ให้ใจมาอยู่กับกาย อยู่กับงานที่ทำ อันนี้ก็เรียกว่า “ตัวอยู่ไหน ใจอยู่นั่น” และสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือตัวทำอะไร ใจก็รู้สึก เช่น เดินก็รู้ว่าเดิน นั่งก็รู้ว่านั่ง กวาดบ้านก็รู้ว่ากวาดบ้าน คือมีความรู้สึกทางกายมาเตือนมาบอก อันนี้เรียกว่า “รู้กาย” เมื่อเรารู้กายเคลื่อนไหว ต่อไปเวลาใจเคลื่อนไหว ใจทำอะไร เราก็รู้ เผลอคิดไป ใจก็รู้ เผลอหงุดหงิดไป ใจก็รู้ อันนี้เรียกว่าเห็นใจเคลื่อนไหว เห็นใจคิดนึก ทำอะไรก็รู้กาย  เจออะไรก็รู้ใจคิดนึก  แต่ทั้งหมดนี้เริ่มต้นที่เรารู้จักเอาใจมาอยู่กับปัจจุบัน ซึ่งก็มีหลักง่ายๆ ว่า  “ตัวอยู่ไหน ใจอยู่นั่น” ลองฝึก อาจจะไม่ถึงกับทำทุกวัน แต่ลองฝึกว่าในขณะที่เช้านี้ไม่ว่าตัวเราอยู่ไหน ใจก็อยู่นั่น ตัวอยู่ในห้องน้ำ ใจก็อยู่ที่ห้องน้ำ ตัวอยู่ชั้นบน ใจก็อยู่ชั้นบน  ตัวอยู่ในห้องครัว ใจก็อยู่ที่ห้องครัว ตัวอยู่บนรถ ใจก็อยู่บนรถ  อาจจะฝึกเป็นช่วงๆ แล้วอาจจะพบว่าใหม่ๆ อาจจะทำไม่ค่อยได้ เพราะใจไถลไปนู้นไปนี่ ไม่เป็นไร รู้ตัวแล้วกลับมา ใหม่ๆ อาจจะทำทั้งวันไม่ได้ ก็ทำเป็นช่วงๆ ช่วงที่เราอยู่บ้าน  หรือช่วงที่เราอยู่ที่สำนักงาน หรือช่วงที่เราอยู่บนรถ เป็นต้น

อาตมาขอฝากแบบฝึกหัดนี้เอาไว้ ลองปฏิบัติดู เป็นการปลุกสติในชีวิตประจำวัน ยังไม่ถึงกับไปวัด ยังไม่ถึงกับเข้าคอร์ส แต่ว่าถ้าเรามีโอกาส มีเวลาที่จะปฏิบัติในรูปแบบอย่างที่อาตมาได้แนะนำทางคลิปวีดีโอเมื่อเช้า อันนั้นเป็นเรื่องที่น่ายินดี

เช้านี้อาตมาเกริ่นนำแค่นี้ก่อน แล้วมาพบกันอีกทีเวลา 17.00 น. ขอเจริญพร