มือถือฉันหาย!
หลายคนคงได้พบกับชะตากรรมเช่นฉันมาบ้าง มันเกิดขึ้นโดยไม่ทันรู้ตัว ความรู้สึกครั้งแรกบอกไม่ถูกว่าเป็นเช่นไร สับสน ตกใจ แข้งขาสั่นไปหมด หัวใจเต้นเร็ว คล้ายจะเป็นลม แต่ใครที่ไม่ได้เจอกับตัวเองคงไม่มีทางรับรู้ความรู้สึกนี้
หลังจากตั้งสติได้ ความรู้สึกเสียดายและเสียใจก็ตามมา ด้วยเพราะเทคโนโลยีอันทันสมัยชิ้นเล็กๆ นี้ มันอยู่กับฉันมานาน จนกลายเป็นความคุ้นเคยที่ต้องพึ่งพิงมันโดยไม่ทันรู้ตัว และสุดท้ายมันก็เข้ามากลายเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นในชีวิตฉันที่แทบจะขาดกันไม่ได้ ก็เป็นธรรมดา เมื่อมันหายไป ชีวิตฉันก็แทบจะเสียสมดุล
หลายครั้งที่คนเราต้องเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่ทันคาดคิดและไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อน มันก็ทำให้เราแทบล้มทั้งยืนเลยทีเดียว
เมื่อคิดถึงเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย เพื่ออำนวยความสะดวกสบายหลายๆ อย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต มันค่อยๆ ซึมเข้าสู่วิถีชีวิตของเราวันแล้ววันเล่า กว่าจะรู้ตัวอีกครั้ง สิ่งเหล่านั้นก็กลายเป็นความจำเป็นที่เกิดจากความเคยชินไปเสียแล้ว
หากมองย้อนกลับไปพิจารณาอย่างจริงจังสักครั้ง จะพบว่าเราถูกสั่งสมทีละนิดๆ จนสุดท้ายมันก็ครอบงำเราทั้งวิธีคิดและชีวิตความเป็นอยู่
จะเห็นว่าความคิดของฉันคล้ายกับเพื่อนๆ อีกหลายคน ที่ไม่กล้ายอมรับความจริง ไม่กล้าสนใจในปัญหาที่น่าสนใจ ไม่กล้ายอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง ไม่กล้าต่อสู้เพื่อสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ไม่กล้า…
แต่กล้าใส่เสื้อสายเดี่ยวเอวลอยเที่ยวโชว์สะดือ หรือกล้าแม้กระทั่งยอมแลกร่างกายกับวัตถุที่อำนวยความสะดวกสบายและร่วมสมัยนิยม กล้ากระทำต่อธรรมชาติและทรัพยากรด้วยความกระหยิ่มใจว่าไม่มีวันหมดสิ้นและสามารถควบคุมได้ หรือกล้าที่จะเพิกเฉยในการช่วยเหลือผู้ด้อยกว่า
โดยที่เราถูกสั่งสอนและสั่งสมความอยากได้ใคร่มี ให้รักมาก เกลียดมาก จนกระทั่งหลงเข้าใจผิดคิดว่าความสุขที่แท้จริงคือการแสวงหาวัตถุมาบำรุงบำเรอให้มากที่สุด
ใช่หรือไม่ว่าทุกวันนี้ลมหายใจเข้า-ออก และ สติที่คอยต้อยตามเราอยู่ทุกฝีก้าวนั้นถูกละเลยไป
นี่เป็นความผิดของฉันและเพื่อนๆ หรือที่ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
พวกเราต่างถูกอบรมสั่งสอนกันมาให้ “เดินตามผู้ใหญ่แล้วหมาไม่กัด” โดยปฏิเสธที่จะค้นหา และที่สำคัญ “เดินตามผู้ใหญ่แล้วสบายดี” เชื่อเถอะ ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงไม่เคยตั้งคำถามกับชีวิตเลยว่าจะทำอะไร ที่ไหน และเพื่ออะไร
ดังนั้นการเดินทางของชีวิตย่อมไม่แตกต่าง และเมื่อเทคโนโลยีอันทันสมัยถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองความสะดวกสบายพัฒนาขึ้น และค่อยๆ คืบคลานเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิต พวกเราจึงอ้าแขนรับด้วยความยินดี โดยที่ไม่เคยแม้แต่จะคิดตั้งคำถามกับมัน
เราถูกสั่งสอนให้สั่งสมความอยากได้ใคร่มี จนกระทั่งหลงเข้าใจผิดคิดว่าความสุขที่แท้จริง คือการแสวงหาวัตถุมาบำรุงบำเรอให้มากที่สุด
ถ้าเพียงแต่เราเพียรถามตนเองอยู่เสมอว่า อะไรคือจุดมุ่งหมายของชีวิตที่เกิดมา และแสวงหาวิธีที่จะนำไปสู่การดำเนินชีวิตที่ดีงาม เราจะพบกับอิสรภาพและความสุขที่งดงามของชีวิต ดังที่พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) กล่าวไว้ว่า ในการดำรงอยู่ของมนุษย์ที่จะมีความสุขได้อย่างแท้จริง ต้องมีอิสรภาพ 3 ขั้น คือ
คืออิสรภาพในการอยู่ร่วมกับธรรมชาติแวดล้อมอย่างปลอดพ้นจากความติดขัดบีบคั้น เช่น มีความปลอดภัยจากความอดอยาก ขาดแคลน มีสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิต โดยเฉพาะปัจจัย 4 ที่เพียงพอ รวมถึงการมีชีวิตอยู่อย่างประสานกลมกลืนกับธรรมชาติที่มีสภาพเกื้อกูลต่อความอยู่ดีของมนุษย์
คือการอยู่ร่วมกันด้วยดีในหมู่มนุษย์ด้วยกัน ปลอดพ้นจากการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ไม่ข่มเหงครอบงำกัน และมีความเป็นมิตร ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
คือการมีความสุขที่ขึ้นต่อสิ่งภายนอกน้อยที่สุด หรือการมีความสุขได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องขึ้นต่อธรรมชาติแวดล้อม และไม่ขึ้นต่อเพื่อนมนุษย์ อันเป็นความสุขอิสระ ไม่ใช่ความสุขแบบพึ่งพา อิสรภาพภายในตัวของมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญ เป็นฐานและเป็นหลักประกันให้อิสรภาพภายนอกสองข้อแรก ทั้งด้านกายภาพและด้านสังคมมีความมั่นคงอย่างแท้จริง
จะเห็นได้ว่าถ้าเราสามารถเข้าถึงอิสรภาพและพบความหมายของชีวิตแล้ว เราก็จะมีจิตใจที่พ้นจากอำนาจบีบคั้นครอบงำของกิเลส ไม่ว่าจะเป็นความอยากได้ใคร่มี (โลภะ) ความโกรธความเกลียด (โทสะ) ความลุ่มหลง (โมหะ) เมื่อนั้นชีวิตก็มีสุข
ถ้าเราก้าวไปถึงขั้นนี้ได้ ก็จะพบกับความสุขที่แท้จริง และเมื่อนั้น…แม้มีสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าโทรศัทพ์มือถือหล่นหายไป เราก็ยังเดินทางชีวิตต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง