เสวนา “มิติจิตวิญญาณในจักรวาลอาสาสมัคร”

เครือข่ายพุทธิกา 10 มีนาคม 2025

“งานอาสาสมัครไม่ใช่แค่การเปลี่ยนโลกภายนอก แต่สามารถเป็นเครื่องมือเปลี่ยนแปลงภายในของผู้คนได้”

มูลนิธิเครือข่ายพุทธิกาจัดงานเสวนา “มิติจิตวิญญาณในจักรวาลอาสาสมัคร” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในงาน Soul Connect Fest 2025 เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารงานอาสาสมัคร เจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนร่วมกับงานอาสา และอาสาสมัครตัวจริงซึ่งมีประสบการณ์ตรงในการทำงานอาสาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยน

จากประสบการณ์ของผู้เข้าร่วมเสวนา รวมทั้งจากการทำงานของมูลนิธิเครือข่ายพุทธิกาเอง พบว่างานอาสาสมัครไม่ใช่แค่การเปลี่ยนโลกภายนอก แต่สามารถเป็นเครื่องมือเปลี่ยนแปลงภายในของผู้คนได้ และมีโอกาสส่งพลังของตัวเองไปสู่คนอื่นๆ เพื่อที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมได้

เริ่มต้นที่สมบัติ บุญงามอนงค์ ผู้อำนวยการมูลนิธิกระจกเงา ซึ่งทำงานบริหารจัดการงานอาสาสมัครมาอย่างยาวนาน กล่าวว่า การที่อาสาสมัครไปทำงานอาสา นอกจากทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายนอกจากสิ่งที่ทำแล้ว ยังส่งผลต่อคุณภาพจิตด้านในอีกด้วย

“งานอาสาสมัครในหลายๆ หน้างาน ด้านหนึ่งเป็นประสบการณ์ใหม่ที่เขาไม่เคยไปเผชิญหน้า และบางงานเป็นประสบการณ์ที่มีความละเมียดมาก เช่น กรณีไปทำงานกับผู้ป่วยจะชัดเจนมาก เรามีโครงการหนึ่งเรียกว่าโรงพยาบาลมีสุข ส่งอาสาสมัครไปทำงานตามโรงพยาบาล พอไปปะทะกับความจริงว่าด้วยเรื่องความเจ็บป่วย บรรยากาศ ผู้คน ลักษณะทางกายภาพที่เขาเห็นผู้ป่วย เห็นความทุกข์ยากของญาติ ได้มีโอกาสสนทนากับผู้ป่วยหรือญาติผู้ป่วยที่อยู่ข้างหน้า กลไกพวกนี้ทำให้เขาเกิดการสนทนาภายใน

หรือแม้แต่ตอนที่พวกเราไปทำศูนย์อาสาสมัครสึนามิ อาสาสมัครที่ไปทำงานเกี่ยวกับข้อมูลของศพในเหตุการณ์ ตั้งแต่ไปเก็บข้อมูลศพว่า ใส่เสื้ออย่างไร มีเฟอร์นิเจอร์ มีเครื่องประดับอะไร จนถึงการเปิดปากแล้วถ่ายรูป เพราะว่าจะต้องเอาข้อมูลทันตกรรมออกมาทำอัตลักษณ์บุคคล เพื่อจะจับคู่ให้ได้ว่าเป็นใคร การที่อาสาสมัครยืนอยู่บนสนามหญ้าที่มีศพเรียงร้อยกันประมาณ 500-600 คน สภาวะนั้นเป็นการเข้าสู่มรณานุสติ เราเห็นเลยว่าอาสาสมัครเปลี่ยนวิธีคิดความจริงเกี่ยวกับชีวิต มันเกิดขึ้นอัตโนมัติ อาจจะโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็แล้วแต่ แต่กลไกเหล่านี้มันทำงาน ในฐานะนักจัดการอาสาสมัคร เวลาทำงานเราไม่ได้ทำแค่เอาอาสาสมัครไปทำงานภายนอก แต่ต้องพยายามสังเกตว่าอาสาสมัครได้รับผลของการไปทำงานอาสาสมัครเข้ามาเปลี่ยนแปลงข้างในอย่างไร ซึ่งตรงนี้เราต้องพยายามประคับประคองหรือจัดสภาพแวดล้อมให้เอื้อ หรือจัดกระบวนการภายหลังเพื่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าการตกผลึกความคิดของอาสาสมัคร”

สมบัติ บุญงามอนงค์

เช่นเดียวกับอรุณชัย นิติสุพรรัตน์ ผู้ก่อตั้ง I SEE U Contemplative Care กลุ่มจิตอาสาที่ดำเนินภารกิจออกเยี่ยมผู้ป่วยเรื้อรังและผู้ป่วยระยะสุดท้ายตามโรงพยาบาล สถานสงเคราะห์ และชุมชนต่างๆ ก็พบว่าหลายๆครั้งของการทำงานอาสาแม้จะเจอกับความทุกข์ยากของชีวิต แต่ท่ามกลางสิ่งเหล่านั้นก็มีเรื่องราวให้ได้เรียนรู้และสร้างการเปลี่ยนแปลงภายในได้

“จริงๆ แล้วสโลแกนของเราคือ เปลี่ยนความทุกข์ เปลี่ยนความยากของชีวิต ให้เป็นเรื่องประทับใจ เวลาเราพาอาสาไปเยี่ยม บ้านนั้นอาจจะไม่เคยมีรอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะเลย แต่พอเราพาพลังงานดีๆ ของอาสาสมัครเข้าไป เราไม่ได้เข้าไปดูแลผู้ป่วยอย่างเดียว แต่ดูแลทุกคนในบ้าน ให้เขาได้พูด ได้เล่าถึงความรู้สึกของเขาว่าลำบากขนาดไหน แล้วสักพักหนึ่ง บ้านหลังนั้นจะเปลี่ยน ความสุขเกิดขึ้นได้ในยามยาก เป็นปรากฏการณ์ที่ผมเองไม่เคยคิดว่าจะสามารถจะเกิดขึ้นได้ ว่าในบ้านหลังหนึ่งที่ทุกคนไม่พูดไม่จากันเลย หลายคนทุกข์กับการแบกรับภาระ หลายคนไม่รู้จะช่วยอย่างไร แต่พอมีอาสาของเราเข้าไปทำงานกับเขา อยู่กับเขา ฟังเขา มันเปิดพื้นที่ให้คนในครอบครัวได้แสดงความรักต่อกัน ได้กอดกัน ได้บอกว่าขอบคุณนะที่ดูแลฉัน อาสาที่ไปเยี่ยมก็ได้ในมุมของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกันด้วย แล้วก็กลับไปทำงานที่บ้านเขาจากสิ่งที่ได้เรียนรู้ ทุกคนจะรู้สึกได้เลยว่า ดีมากเลย อยู่บ้านเขาไม่เคยมีโอกาสทำสิ่งนี้ให้กับคนในบ้าน แต่วันนี้เขาทำให้ใครก็ไม่รู้ แล้วคนคนนั้นกำลังต้องการบางอย่างที่เขาพูดไม่ได้ แล้วเราไปอยู่ตรงนั้นกับเขา เหมือนเราพาเขาเดินทางไปด้วยกัน เขาเกิดความเข้าใจ แล้วความเข้าใจตรงนี้มันคุยกับตัวเองว่า เราก็มีประโยชน์ เราก็มีค่าเหมือนกัน”

อรุณชัย นิติสุพรรัตน์

สำหรับดร.สรยุทธ รัตนพจนารถ ผู้อำนวยการร่วมธนาคารจิตอาสา แพลตฟอร์มอาสาออนไลน์ ที่พาคน 2 กลุ่มมาเจอกัน คืออาสาสมัครและองค์กรที่รับอาสาสมัคร ซึ่งมีเป้าหมายทำงานส่งเสริมอาสาสมัคร ปรารถนาให้อาสาสมัครเกิดการเปลี่ยนแปลงและเป็นคนที่มีความสุขในการออกไปทำอะไรเพื่อคนอื่น กล่าวว่า

“งานของธนาคารจิตอาสาด้านหนึ่งคือการสร้างความร่วมมือกับองค์กรอาสาสมัคร ว่าเขาควรจะมองอาสาสมัครในฐานะคนซึ่งกำลังจะไปเปลี่ยนแปลงโลกของเขา โลกของคนที่จะไปเจอหน้างาน โลกมนุษย์ และจริงๆ ไปไกลกว่านั้นด้วย ทำอย่างไรเราจะออกแบบตรงนี้ได้ ก็ไปคุยกับองค์กรว่า เขาควรจะจัดกระบวนการ ซึ่งเรามีตัวอย่างที่มหัศจรรย์ไม่ว่าจะจากมูลนิธิกระจกเงา หรือ I SEE U เราต้องมีเวลาให้คนมาคุยกันว่า สิ่งที่จะทำคืออะไร ไปทำกระบวนการ และสะท้อน เมื่อครู่พี่หนูหริ่งพูดถึงเรื่องการสะท้อนพอสมควรว่าต้องให้คนได้ตกผลึก ต้องได้คุย เพราะการที่เราไปปะทะกับสถานการณ์ที่ทำให้เราเห็นบางอย่าง ถ้าเราไม่คุย ไม่พูด ไม่ตกผลึกด้วยวง มันจะไม่เห็น เหมือนเราไปกินอาหาร สักแต่กิน แล้วก็จบ แต่ถ้ามีคนมาเล่าว่า ผักนี้ปลูกมาอย่างไร ดีงามอย่างไร มันมหัศจรรย์มาก”

ดร.สรยุทธ รัตนพจนารถ

ด้านคุณวุฒิ วิพันธ์พงษ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานความยั่งยืนทางธุรกิจและสิ่งแวดล้อม บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด ซึ่งมีนโยบายสนับสนุนงานด้านสังคม ส่งเสริมกิจกรรมจิตอาสา กล่าวว่าภายใต้แนวคิด We Build Happiness ขององค์กร เขาเชื่อว่าการทำงานจิตอาสา ผลคือความสุข

“ผมอยากจะมองในฐานะที่เราอยู่กับหลายองค์กร อาจจะโยงไปสู่หลักทางพุทธศาสนาที่บอกว่า ทำประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่น ทำประโยชน์ผู้อื่น ไม่ได้ทำประโยชน์ตน และทำประโยชน์ตน ไม่ได้ทำประโยชน์ผู้อื่น และทำทั้ง 2 อย่าง พระพุทธเจ้าสรรเสริญ 4 ลำดับไป เท่าที่เราสัมผัส คนที่เป็นระดับ 2 คือ ทำเพื่อผู้อื่นแต่ไม่ได้ภาวนา จะพบว่าเขามีความทุกข์ เหมือนเอาการทำเพื่อผู้อื่นเป็นเป้าหมาย ภายในจะทุกข์ ถ้าเชิญชวน มันก็สามารถเอาเป็นเครื่องมือได้ กลายเป็นว่า งานอาสาเป็นเครื่องมือในการภาวนาที่ดี มาสู่ระดับ 3 แล้วถ้าเขาทำได้ ภาวนาจนดีแล้ว งานอาสาจะเป็นผลพลอยได้ ด้วยความกรุณาที่เกิดขึ้น ซึ่งผมเห็นพี่ๆ อาสาทุกคน พอข้างในได้แล้ว มันมีความกรุณาออกมา กลายเป็นว่าเราเน้นเรื่องการภาวนาผ่านเครื่องมืออาสา แล้วสักวันหนึ่ง ผมเชื่อว่างานอาสาจะงอกงาม”

“สำหรับพนักงาน เขาจะรอว่าเมื่อไหร่จะจัดงานจัดกิจกรรมอาสา บางทีอาจไม่ใช่ภาวนาเป็นเบื้องลึก แต่กลายเป็นว่าการมีกิจกรรมแบบนี้ ทำให้พนักงานมีความสุข เช่น เราจัดกิจกรรมปลูกต้นไม้แล้วมีการติดตาม ถ้าปลูกต้นไม้แล้วไม่ติดตาม ส่วนใหญ่จะตาย แต่ถ้ามีการติดตามแล้วเขาไปเห็นต้นไม้ที่เขาปลูกเติบโต อาจจะให้เขาคุยกับต้นไม้ ให้มีโมเมนต์ที่มีความสุขความผูกพัน หรือพาครอบครัวพาลูกมาร่วมกิจกรรมด้วย จะเป็นโมเมนต์ที่ทัชเข้าไปในใจ เขาจะสัมผัสได้ว่าเขามีส่วนช่วยโลกจริงๆ ไม่ใช่แค่เป็นอีเวนท์”

วุฒิ วิพันธ์พงษ์

ในวงเสวนามีอาสาสมัครตัวจริง 2 ท่านที่ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ คือสันติ ดำรงวิริยาเวทย์ อาสาอำนวยความสะดวกผู้ป่วยในโรงพยาบาล มูลนิธิเครือข่ายพุทธิกา ผู้ปฏิบัติงานอาสาที่สถาบันประสาทวิทยาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ปีแล้ว และ ณัฏฐกิตติ์ ระวิรุ่ง อาสาสมัครมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ผู้เข้าไปทำงานช่วยเหลือเกษตรกร ช่วยเหลือชุมชม ที่อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่

“มีหลายๆ อย่างที่เกิดการเปลี่ยนแปลงนับตั้งแต่มาทำอาสา อย่างแรก จากที่เราเป็นคนไม่เคยสนใจดูแลเรื่องสุขภาพร่างกายตัวเองเลย พอเรามาอยู่ในแวดวงนี้ เห็นคนป่วย ก็เริ่มมีคำถามว่าเราจะดูแลตัวเองอย่างไร ตรงนั้นเราก็ได้สิ่งที่เราจะดูแลสุขภาพตัวเองอย่างไร อย่างที่สองคนป่วยที่มาโรงพยาบาล เขามีทุกข์ อยากจะหาทางให้พ้นทุกข์ เราเห็นแล้วเราก็มีใจที่อยากจะช่วย ตั้งแต่นั้นมาก็ค่อยๆ พัฒนาไป มีอะไรก็อยากจะช่วย แล้วก็ช่วยมาตลอด สิ่งที่เกิดขึ้นคือใจเราพัฒนา กลายเป็นผู้รับ ไม่ใช่ผู้ให้แล้ว เช่น เวลาเจอคนไข้ที่วีน ผมจะบอกอาสาด้วยกันว่าคือความมีโชค เพราะคือบททดสอบว่าเราจะบริหารใจเราได้ขนาดไหนอย่างไร เพราะถ้าเราไปโกรธเขาตอบ ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา อยู่ที่ว่าเราจะจัดการใจของตัวเองอย่างไร”

สันติ ดำรงวิริยาเวทย์

นี่คือสิ่งที่ได้รับและความเปลี่ยนแปลงจากการทำงานอาสาของสันติ อาสาอำนวยความสะดวกผู้ป่วยในโรงพยาบาล ส่วนณัฏฐกิตติ์ก็เล่าให้ฟังว่า

“ผมเป็นอาสาสมัครอยู่ที่อำเภออมก๋อย ทำงานกับชาวปกากะญอ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ช่วยเหลือชุมชน ให้มีความรู้ ความสามารถ มีอาชีพและรายได้ที่มั่นคง บางครั้งชุมชนเกษตรกรมีหน่วยงานเข้าไป เป็นคนเมือง การสื่อสารความเข้าใจอาจจะยาก แต่เราเป็นชาวปกากะญออยู่แล้ว สามารถสื่อสารรับฟังเขาได้ว่าต้องการอะไร เขามีปัญหาอะไร เราก็หาวิธีไปให้ความรู้และแก้ไขให้เขาว่า ทำแบบนี้ๆ เพื่อให้เขาประสบความสำเร็จและเชื่อมั่นในตัวเรา และเชื่อมั่นในหน่วยงานของเรา ซึ่งก็ทำมาได้ 2 ปีแล้วครับ จากความกล้าๆ กลัวๆ ไม่กล้าเผชิญหน้ากับเกษตรกร ไม่กล้าเผชิญหน้ากับอะไร พอมาเป็นอาสาแล้วรู้สึกตัวเองเปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น มีความสุขมากขึ้นกับอาชีพที่ทำอยู่ ความสุขที่ผมได้คือรอยยิ้มที่ผมให้เขา แล้วเขาให้รอยยิ้มกลับมา”

ณัฏฐกิตติ์ ระวิรุ่ง

งานอาสาสมัครหลายงานจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีพื้นที่ที่เปิดให้อาสาได้ลงไปทำงาน ยกตัวอย่างเช่น อาสาอำนวยความสะดวกผู้ป่วยในโรงพยาบาล นอกจากผู้บริหารแล้วยังต้องอาศัยความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล หนึ่งในนั้นคืออุไรวรรณ เนตรขำ หัวหน้างาน Telemedicine การพยาบาลผู้ป่วยนอก สถาบันประสาทวิทยา ซึ่งทำงานประสานกับมูลนิธิเครือข่ายพุทธิกาและอาสาสมัคร ทำให้เธอได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวอาสาเองและเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลด้วย

“ตอนนี้งานอาสาของเราส่วนใหญ่จะเป็นเด็กนักเรียนเพราะมาเก็บพอร์ตโฟลิโอ ซึ่งเราไม่ได้ไปมองว่าเขามาด้วยอะไร แต่มองว่าเขากลับไปจะได้อะไร ตั้งแต่อบรมปฐมนิเทศ จะมีการเพิ่มทักษะให้เขารับฟัง รู้จักการวางใจ รู้จักเข้าใจในชีวิตว่า ตัวเองเป็นอย่างไร เป็นการวางรากฐานทางความคิด วันปฏิบัติงานครั้งแรกอาจจะไม่อยากมา เพราะต้องมาถึงโรงพยาบาลตั้งแต่ 6.45 น. เริ่มงาน 7 โมง แต่พอครั้งที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 เขาก็เริ่มปรับตัวได้ และหลังการปฏิบัติงานทุกครั้งจะมีการถอดบทเรียน น้องจะได้กลับมาคิดว่า วันนี้เจออะไรบ้าง แล้วเขาจัดการอย่างไรกับเหตุการณ์นั้น จัดการอย่างไรกับใจตัวเอง สิ่งสำคัญที่เราเห็นการเปลี่ยนแปลงคือ พ่อแม่ ครอบครัว กลับมาบอกกับทีมงานว่า ลูกเปลี่ยนไป มีสมาธิมากขึ้น รับฟังมากขึ้น จากเดิมที่ไม่ค่อยอยากฟัง นี่คือสิ่งสำคัญที่เราได้กลับมา แล้วรู้สึกว่ามีค่ามาก”

“ส่วนด้านเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลพอมีอาสาเข้ามา คนทำงานของเราเริ่มเปลี่ยนไป เริ่มมองว่าอาสาเข้ามาโดยที่ไม่ได้อะไรเลย แต่เขามาด้วยรอยยิ้ม ด้วยใจ ให้บริการคนไข้อย่างดี แล้วกลับไปด้วยรอยยิ้ม และพอมีอาสาเข้ามาความกดดันและแรงปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่กับคนไข้ที่มารับบริการมันน้อยลง ทำให้เขาได้กลับมามองตัวเองมากขึ้นว่า อาสายังมาทำเลย แต่เราซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ ได้เงินเดือนด้วย ทำไมเราถึงทำแบบนั้นบ้างไม่ได้ เราก็มีการนำอาสาไปร่วมฟื้นฟูใจและสานสัมพันธ์กับบุคลากรในโรงพยาบาลด้วย ทำให้การทำงานราบรื่นขึ้น แม้แต่บุคลากรในโรงพยาบาล อยู่ต่างแผนก บางทียังแทบไม่รู้จักกันเลย เพราะอยู่กันแต่ละเคาน์เตอร์ พอมีอาสาเป็นตัวช่วยประสาน ทำให้การทำงานหรือการให้บริการราบรื่นขึ้น และระยะเวลาให้บริการคนไข้รวดเร็วยิ่งขึ้น”

อุไรวรรณ เนตรขำ

พยาบาลอีกท่านคือ ราตรี ประภาสะวัต ผู้มีใจอาสาตั้งแต่ทำงานประจำ หลังจากเกษียณอายุราชการ ก็มาเป็นจิตอาสาเต็มตัว ที่แผนกดูแลผู้ป่วยระยะท้ายประคับประคอง ศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน และดูแลสิ่งแวดล้อมระยะท้าย โครงการหมอสะอาด เธอบอกกับทุกคนว่าการเป็นจิตอาสานั้นสามารถแทรกเข้าไปในชีวิตประจำวันได้ทุกวินาที เพียงแค่ใส่ใจ

“ตอนที่เป็นพยาบาลจะทำงานจิตอาสาแทรกไปในงานประจำ อย่างเช่นตนเองเป็นพยาบาลอยู่ที่หน่วยงานตึกพิเศษ คนไข้พิเศษเป็นห้องๆ เวลาคนไข้ใส่สายยางอยู่ที่บ้าน ใส่สายใส่ปัสสาวะ ใส่สายอาหาร แล้วเขามาเปลี่ยนที่ห้องฉุกเฉิน เขาจะรอคิวยาวนานมาก เราอยู่บนวอร์ดก็คิดว่าทำอย่างไรถึงจะช่วยเหลือคนไข้ได้ เราเลยประสานไปว่า ตึกเราห้องพิเศษบางห้องคนไข้ไม่มี ให้พวกเขาขึ้นมาเลย แล้วเราก็เปลี่ยนสายให้ ได้ความรวดเร็วมากขึ้น อยากจะบอกทุกคนว่างานจิตอาสาแทรกเข้าไปในชีวิตประจำวันเราได้ทุกวินาที แค่เราใส่ใจ

และสำหรับตัวเองการที่มาเสวนาในวันนี้ ถือเป็นการเติบโตด้านจิตวิญญาณอีกอย่างหนึ่งคือ Growth Mindset ที่เคยคิดว่าเรามีความสามารถแค่นี้ ประเมินความสามารถตนเองต่ำ แต่พอได้มาเป็นจิตอาสาหลายๆ ปี ทำให้เรามีการเติบโตในด้านความคิดหลายมิติมาก วันนี้เลยกล้าท้าทายที่จะทำสิ่งใหม่ งานอาสาทำให้เราเติบโตด้านสติปัญญาหรือจิตวิญญาณว่า ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย ใช้ชีวิตอย่างไร้กังวลมากๆ ทำให้เราสามารถออกไปช่วยผู้คนในเคสยากๆ ได้ ท้าทายสติปัญญาเรามากๆ”

ราตรี ประภาสะวัต

ช่วงท้ายของงานเสวนาในวันนั้นเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมฟังได้แบ่งปันความคิดเห็น หลายท่านเป็นจิตอาสาอยู่แล้ว และได้เห็นความเปลี่ยนแปลงภายในของตัวเอง ท่านหนึ่งบอกกว่าการเป็นอาสาช่วยเหลือคนอื่นสิ่งสำคัญที่ได้รับกลับมาคือช่วยเติมพลังให้กับตัวเองด้วย ส่วนอีกท่านเป็นอาสากลุ่ม I SEE U เล่าให้ฟังว่าความเป็นจิตอาสาได้เข้ามาอยู่ในเนื้อในตัว และพบว่าตัวเองนั้นรับฟังคนในบ้านมากขึ้น ทั้งยังได้ทักษะการเรียนรู้จากกลุ่มจิตอาสา I SEE U มาใช้ในยามต้องเผชิญหน้ากับการสูญเสียบุคคลในครอบครัว

ผู้เข้าร่วมเสวนาแบ่งปันประสบการณ์

ประสาน อิงคนันท์ ชวนเสวนา

ห้องเสวนาในวันนั้นเต็มไปด้วยพลังมวลรวมของผู้ที่มีใจอาสา เห็นคุณค่าของการแบ่งปัน พบความสุขจากการลงมือทำอะไรเพื่อคนอื่น ทั้งยังเห็นความเปลี่ยนแปลงภายในของตนเองอีกด้วย ซึ่งเชื่อว่าหลายๆ คนจะมีโอกาสส่งพลังของตัวเองไปสู่คนอื่นๆ เพื่อที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้