จุดเปลี่ยน…ในยามที่ยังมีทางเลือก

มะลิ ณ อุษา 1 ธันวาคม 2013

พอสิ้นเสียงฝนสั่งฟ้า ลมหนาวก็พัดมาจากทางตอนเหนือ ต้นไม้เริ่มเปลี่ยนสีก่อนจะร่วงหล่นลงมา บรรดาสัตว์น้อยใหญ่เข้าสู่ฤดูแห่งการอพยพหรือจำศีลอันยาวนาน

สรรพสิ่งล้วนดำเนินชีวิตภายใต้กฎเกณฑ์เดียวกัน นั่นคือ กฎของธรรมชาติอันแปรเปลี่ยนไปทุกขณะ

กาลเวลาถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนวัฏจักรการเกิดแก่เจ็บตายให้ดำเนินไปตามครรลอง ดังนั้น กาลเวลาจึงมีความสอดคล้องสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงอย่างแยกไม่ออก ประหนึ่งเมื่อมีลมหายใจเข้าก็ย่อมต้องมีลมหายใจออก หากขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไป ชีวิตก็ไม่อาจดำรงอยู่ได้

สิ่งมีชีวิตต่างๆ น้อมรับกฎเกณฑ์นี้และปรับเปลี่ยนตัวเองอย่างสอดคล้องกลมกลืน ยกเว้นแต่เพียงมนุษย์เท่านั้น ที่ดูเหมือนจะฉลาดกว่าใครอื่น แต่ไม่รู้ทำไมจึงไม่ยอมเข้าใจเสียที

ในชีวิตของเรามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย แต่ที่จะมีความสำคัญถึงขั้นเรียกว่าเป็น จุดเปลี่ยนของชีวิตนั้น มีไม่กี่ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งล้วนสั่นสะเทือนความมั่นคงภายในไปจนถึงจิตวิญญาณเลยทีเดียว

ด้วยเหตุนี้เอง ใครหลายคนจึงพยายามหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผ่านการสร้างเกราะกำบังที่เรียกว่า พื้นที่ปลอดภัยหรือพื้นที่ไข่แดง ด้วยการอยู่ในที่เดิมๆ กับผู้คนที่คุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือที่ทำงาน ดำเนินชีวิตตามขั้นตอนหรือขนบที่ถูกกำหนดไว้อย่างไม่มีเงื่อนไข ทำหน้าที่ตามป้ายอาชีพที่ถูกแปะไว้แต่ต้น เป้าหมายของคนกลุ่มนี้ คือ การประคับประคองสถานการณ์ให้ราบเรียบตามระเบียบแบบแผนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ บางครั้งก็อาจต้องทำเป็นไม่รับรู้หรือมองไม่เห็นสัญญาณเตือนภัยบางอย่างจากภายนอก เพื่อไม่ให้พื้นที่ไข่แดงถูกกระทบกระเทือน ความเฉื่อยเนือย (เพราะต้องการหลีกเลี่ยง) หรือความก้าวร้าว (เพราะต้องการควบคุม) อาจเป็นสิ่งที่เรามองเห็นจากภายนอกของคนกลุ่มนี้

ในขณะที่ใครบางคนอาจชื่นชอบการเสาะแสวงหาสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการรู้จักผู้คนใหม่ๆ สถานที่ท่องเที่ยวที่แปลกใหม่ รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ที่ทันยุคทันสมัย การกระโจนไปตามกระแสที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลานับเป็นกิจกรรมที่ชวนให้หลงใหล ในทางตรงข้าม หากต้องอยู่นิ่งๆ หรือทำอะไรซ้ำซากจำเจ โดยเฉพาะต้องฝืนทำตามคำสั่งของคนอื่นด้วยแล้วยิ่งยากจะทานทน รวมถึงการมองว่าผู้คนที่ใช้ชีวิตอย่างนั้นล้วนเป็นคนที่น่าเบื่อและสมควรดูถูกด้วย ความกระตือรือร้นกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งในระยะเวลาอันจำกัดอาจเป็นสิ่งที่เราสัมผัสได้จากคนกลุ่มนี้

คนอีกกลุ่มหนึ่งมีความพึงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีและเป็นอยู่ แม้จะเห็นความขาดแคลนหรือบกพร่องอยู่บ้างก็สามารถยอมรับได้ บุคลิกภายนอกของคนกลุ่มนี้ ไม่ว่าจะเป็นท่าที การพูด ใบหน้า ฉายแววแห่งความมีชีวิตชีวา มีความยืดหยุ่นในยามที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ท้าทาย และเปิดกว้างสำหรับความคิด ประสบการณ์ และความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในขณะเดียวกันก็สามารถยืนยันความคิดของตัวเองได้อย่างชัดเจน การได้พูดคุยหรือปฏิสัมพันธ์กับคนกลุ่มนี้ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและไว้วางใจ แววตาที่สงบนิ่งกับรอยยิ้มที่เป็นมิตรแม้ในยามที่พบกันครั้งแรก คือ ภาพลักษณ์ภายนอกของคนกลุ่มนี้

อาจเร็วและแคบเกินไปหากจะถามว่า คุณเป็นบุคคลกลุ่มไหน กลุ่มตัวอย่างที่ยกมาอธิบายในที่นี้ ก็เพื่อให้เห็นถึงมุมมองในการเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างกันแบบสุดขั้วเท่านั้น และไม่ได้หมายความว่าแบบไหนดีกว่าหรือแย่กว่า

คุณสมบัติของบุคคลทั้ง 3 กลุ่มข้างต้น เป็นภาพกว้างๆ ให้เราย้อนกลับมาพิจารณาตัวเอง เราอาจมีบางส่วนของแต่ละกลุ่มผสมผสานกัน และเพื่อประกอบการพิจารณาให้ละเอียดเพิ่มขึ้นอีกขั้น ขอให้เราทบทวนและตอบตัวเองอย่างตรงไปตรงมาว่า เรามีความรู้สึกต่อไปนี้มากน้อยเพียงใด

เรา…กลัวการเปลี่ยนแปลง เพราะการเปลี่ยนแปลงทำให้เราต้องทำสิ่งที่ไม่คุ้นเคย การทำสิ่งที่ไม่คุ้นเคยเสี่ยงต่อการที่เราจะสำแดงความโง่ออกมา (ซึ่งเป็นสิ่งที่แย่มากๆ) เราทนไม่ได้กับสายตาตำหนิของคนอื่น โดยเฉพาะคนที่เราชัง และทนไม่ได้กับสายตาที่แสดงความผิดหวังของคนที่เรารักและใส่ใจ

เรา…กลัวการต้องทำอะไรซ้ำๆ เพราะการทำสิ่งเดิมๆ เป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่าย หรือการคลุกคลีกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากเกินไป อาจนำไปสู่ปัญหา ความยุ่งยาก หรือการผูกมัด อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะนำมาซึ่งความผิดพลาด (อับอาย) ความลำบาก (เหนื่อย) และความเจ็บปวด (ผิดหวัง/เสียใจ)

และที่สุด คือ เรา…กลัวการสูญเสีย ใช่หรือไม่?

คนที่กลัวการเปลี่ยนแปลงก็กลัวว่าจะสูญเสียพื้นที่ปลอดภัย การอยู่ในพื้นที่เสี่ยงโดยไม่มีใครปกป้องคุ้มครองทำให้สั่นไหวมาก เพราะนั่นอาจทำให้เรากลับไปสู่สภาวะเดิมที่เราหนีจากมาก่อนหน้านี้

อีกด้านหนึ่ง คนที่กลัวความซ้ำซากก็กลัวว่าจะสูญเสียอิสรภาพและความสะดวกสบาย การถูกตีกรอบให้อยู่หรือทำเพื่อตอบสนองความต้องการของคนอื่นทำให้อัดอั้นมาก เพราะนั่นอาจทำให้เราต้องอยู่ภายใต้การครอบงำของคนอื่น และสูญผลประโยชน์ที่เราพึงได้รับ

นอกจากนี้ยังมีความกลัวการสูญเสียเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย สุดแท้แต่ใครจะสรรหามาประดับชีวิต คุณลองค้นดูเองเถิด อย่างไรก็เจอ

เพื่อการก้าวผ่าน…ในสถานการณ์บ้านเมืองที่สุ่มเสี่ยงต่อความรุนแรงเช่นนี้ จำเป็นที่เราจะต้องกลับมาทบทวนและเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างจริงจัง ค้นหาความกลัวที่อยู่ลึกๆ ให้เจอ หากเราลอกเปลือกความกลัวแต่ละชั้นออกมา อย่างซื่อตรงและกล้าหาญ เราจะพบว่า เจ้าความกลัวนี้เองที่เป็นตัวการสำคัญในการหล่อหลอมบุคลิกภาพ ทัศนคติ และกำหนดทิศทางในชีวิตของเราให้ผิดเพี้ยนไป และช่องว่างตรงนี้เองที่ทำให้ใครบางคนฉกฉวยผลประโยชน์ด้วยวิธีการที่แยบยล ทั้งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้และกำลังเกิดขึ้นในขณะนี้

ดังนั้น เราจะต้องกลับมาค้นหาความปรารถนาที่แท้จริงของชีวิตที่ถูกซุกซ่อนหรือกดข่มไว้ให้เจอ แต่มีข้อแม้ว่า ความปรารถนานั้นจะต้องไม่เบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่น จากนั้นขอให้เราพาตัวเองไปอยู่ในที่ที่สงบเงียบและบอกกับตัวเองอย่างช้าๆ และมั่นคงว่า

* นับจากนี้ไป ฉันจะเป็นตัวของตัวเอง จะลงมือทำตามเสียงจากด้านใน จะพึ่งพาตัวเอง จะไม่มองหาคำตอบจากคนอื่น จะค้นหาจากภายในจนกว่าจะเจอ จะคิดด้วยตัวเอง ด้วยเหตุปัจจัยของเราเอง…

เมื่อคุณค้นหาคำตอบเจอ ขอให้คุณชื่นชมในสิ่งที่ได้รับรู้ (ฉันเองก็ชื่นชมคุณด้วยเช่นกัน) และเชื่อมั่นในตัวเองว่าคุณจะสามารถทำให้มันสำเร็จได้ ไม่ว่าจะต้องใช้เวลายาวนานหรือเหน็ดเหนื่อยสักเท่าใดก็ตาม ความรักและศรัทธาจะเติมพลังชีวิตให้คุณอย่างไม่มีวันหมดสิ้น

แต่หากว่าคุณยังค้นหาคำตอบไม่เจอ (ฉันก็ยังขอชื่นชมในความพยายามและให้กำลังใจคุณ) ขอให้อดทนและทำต่อไป ไม่ว่าจะต้องใช้เวลายาวนานหรือเหน็ดเหนื่อยสักเท่าใดก็ตาม หากคุณเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวคุณเอง คุณจะค้นพบคำตอบด้วยตัวเองสักวัน

ความกลัวนี้เอง ที่เป็นตัวการสำคัญในการหล่อหลอมบุคลิกภาพ ทัศนคติ และกำหนดทิศทางชีวิตของเราให้ผิดเพี้ยนไป

ที่สาธยายมามากมายเป็นคุ้งเป็นแควนี้ ก็เพียงเพื่อจะทักท้วงให้เราทุกคนได้หยุดคิดสักนิดว่า การรับฟังข่าวสาร การประกาศเจตนารมณ์ และการเลือกข้างหรือไม่เลือกข้างของเรานั้น มีที่มาจากแรงขับดันอะไร อย่ากลัวที่จะค้นหา อย่ากลัวที่จะเผชิญกับคำตอบ เพราะตราบใดที่เรายังหลีกเลี่ยงที่จะหาคำตอบของชีวิตเราเอง ก็เท่ากับว่าเราไม่เคารพในศักดิ์ศรีของตัวเอง และยินดีให้คนอื่นฉกฉวยผลประโยชน์และสูบพลังชีวิตจนเหือดแห้งไป

ท่ามกลางสถานการณ์ที่เดินทางมาถึงจุดเปลี่ยน เราจะเป็น ผู้เลือกด้วยอำนาจของเราเอง หรือ ผู้ถูกเลือกด้วยอำนาจของคนอื่น อาจยังพอมีโอกาส


เครดิต

มะลิ ณ อุษา

ผู้เขียน: มะลิ ณ อุษา

คือ...ผู้หญิงธรรมดา รักการเดินทางพอๆ กับการอยู่บ้าน แต่ที่รักมากกว่า คือ การเรียนรู้ชีวิต วันดีคืนดี คุณอาจเห็นเธอนั่งวาดภาพอยู่ข้างถนน อ่านบทกวีอยู่ในกระโจมกลางป่า สอนหนังสือเด็กๆ ในชนบท ปลูกต้นไม้ในสวนเล็กๆ หรือนวดแป้งอยู่หน้าเตาดิน ไม่ต้องแปลกใจ เธอทั้งหมดคือคนๆ เดียวกัน