“อิมสฺมิ อาวาเส อิมํ เตมาสํ วสสํ อุเปมิ” ทันทีที่พระสงฆ์กล่าวคำอธิษฐานเข้าพรรษา ข้อผูกมัดและความรับผิดชอบต่อตนเองที่ต้องอยู่ร่วมกันจำพรรษาตลอดช่วงฤดูฝนก็เริ่มต้นขึ้น จากที่พระภิกษุสามารถเดินทางตามอิสระ การเข้าพรรษาเป็นประเพณีที่เปิดโอกาสให้พระสงฆ์ต้องมาร่วมวัด ร่วมสังฆกรรม ดังนั้นช่วงการเข้าพรรษาหลายคนจึงใช้เป็นโอกาสอันดีในการถือปฎิบัติในกิจที่สำคัญ รวมถึงการอธิษฐานความประพฤติในช่วงเวลานี้ เพื่อนของผู้เขียนใช้โอกาสการเข้าพรรษาอธิษฐานงดรับประทานเนื้อสัตว์ บางคนเลือกสมาทานศีลแปด
สำหรับประเพณีวัฒนธรรมพุทธศาสนา การบวชเรียนช่วงเข้าพรรษาเปิดโอกาสให้ผู้ชายสามารถพาตัวเองจากกรอบชีวิตที่อิสระในฐานะฆราวาสมาอยู่ในกรอบของนักบวช หลายคนอาจได้เตรียมตัว เตรียมใจที่จะเข้าสู่ชีวิตใหม่ ได้ศึกษาหาความรู้ถึงวัตรปฏิบัติของพระภิกษุ กระทำได้มากน้อยตามเงื่อนไขและความตั้งใจ เพียงข้ามคืนหลังพิธีกรรมการบวช พวกเขาก็ได้เข้าสู่สถานภาพใหม่ ได้รับการปฏิบัติตามความเคารพและความคาดหวังในการประพฤติตัว สำหรับพระบวชใหม่ต้องใช้เวลาพอสมควรทีเดียวสำหรับการปรับตัว การวางตัว โดยเฉพาะการสำรวมกาย วาจา และใจ กรอบของพระภิกษุในความหมายศีล สมาธิ ปัญญา ถือเป็นฐานสำคัญของความรู้
สำหรับการบวชเรียนในช่วงพรรษา วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปฏิบัติ ฝึกฝนตน การเลือกวัดที่พักอาศัย รวมถึงสภาพแวดล้อมและการเลือกสรรและฝากตัวเป็นศิษย์กับครูบาอาจารย์ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญ “สัปปายะ” คือศัพท์เฉพาะในพุทธศาสนาที่หมายถึงสิ่งที่เหมาะสม เกื้อกูลสนับสนุนในการบำเพ็ญภาวนาให้ได้ผลดี ช่วยให้สมาธิตั้งมั่น ไม่เสื่อมถอย ความเป็นสัปปายะจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญในการพิจารณาเลือกสรร ตั้งแต่สถานที่ อาหาร บุคคลแวดล้อม อากาศ ชุมชน องค์ประกอบเหล่านี้ช่วยให้ช่วงเวลาของการบวชแม้เพียงชั่วคราวมีความหมาย คุณค่า และได้ประโยชน์อย่างแท้จริง
มูลเหตุสำคัญ คือ ช่วงเวลาเข้าพรรษาที่ทุกชีวิตในวัด ในสถานปฏิบัติธรรมพึงปฏิบัติ คือการไม่สัญจรออกนอกเขตอาวาสโดยไม่มีเหตุอันควร เงื่อนไขนี้ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมให้การบวชเรียนมีความหมาย เนื่องเพราะพระภิกษุทุกรูปต้องเผชิญกับสิ่งท้าทาย คือ การอยู่กับตนเอง และการอยู่ร่วมกับผู้อื่น จากปกติที่คนทั่วไปมีอิสระในการเดินทาง ในการประพฤติที่ยืดหยุ่นกว่าพระภิกษุ อิสระในที่นี้ทำให้หลายคนมีช่องทางหลบเลี่ยงการเผชิญหน้า แต่กรอบความเป็นพระช่วงเวลาเข้าพรรษา พระภิกษุโดยเฉพาะพระบวชใหม่จะต้องเผชิญกับโจทย์ชีวิตในเรื่องนี้โดยหลีกเลี่ยงไม่ได้
กิจของพระภิกษุ คือการประพฤติตามชีวิตพรหมจรรย์ พรหมจรรย์ในความหมายแบบอย่างการดำเนินชีวิตอันดีงาม คือชีวิตที่ไม่เบียดเบียน ในอีกความหมายที่ใกล้เคียงคุ้นเคยคือ การศึกษาปฏิบัติธรรม นิยามความหมายที่กว้างมาก เปิดอิสระให้กับการเรียนรู้ ดังนั้นกิจวัตรที่พระบวชใหม่มักใช้เวลาจึงอาจเป็นการอ่านหนังสือธรรมะ การปฏิบัติสมาธิภาวนา การทำกิจวัตรของสงฆ์ คือ บิณฑบาต ทำวัตร สวดมนต์ ดูแลอาสนะ ทำความสะอาด อย่างไรก็ดี กิจสำคัญที่ขาดไม่ได้คือ การสมาคมสังสรรค์ในหมู่เพื่อนพระ และนั่นเป็นโอกาสสำคัญของการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่น และโอกาสของการไม่ได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับตนเอง
ชีวิตของพระภิกษุ ผู้เขียนขอเปรียบเทียบว่าเหมือนกับชีวิตของนักฟุตบอลที่วิ่งอยู่ในสนาม ตราบที่ยังศึกษาบวชเรียน นักฟุตบอลคนนี้ก็จะได้รับประสบการณ์นี้ ชีวิตของนักบวช ชีวิตของชุมชน แตกต่างที่นักฟุตบอลคนนี้ไม่มีโคชมากำกับ นักฟุตบอลคนนี้มีอิสระที่จะวิ่งไปไหนก็ได้ ทำอะไรก็ได้ตราบเท่าที่ยังอยู่ในวินัยและกฎกติกา สิ่งสำคัญคือ นักฟุตบอลคนนี้จะใช้โอกาสของการมาอยู่ในสนามทำอะไรให้กับตนเอง และให้กับผู้อื่น
“การไม่สัญจรออกนอกเขตอาวาสโดยไม่มีเหตุอันควร” เงื่อนไขนี้ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมให้การบวชเรียนมีความหมาย
การอยู่กับตนเอง เป็นช่วงเวลาสำคัญที่เปิดโอกาสให้เราได้เผชิญหน้ากับตนเอง เริ่มตั้งแต่ความสับสนฟุ้งซ่าน ความเบื่อหน่าย โดยเฉพาะความเหงา อาจมีเรื่องของกามฉันทะ ความอยากในอาหารรสเลิศ ความครุ่นคิดถึงบรรยากาศที่คุ้นเคย พระใหม่บางรูปอาจมีเรื่องราวชีวิตส่วนตัวในเรื่องความเจ็บแค้น ความรัก ความห่วงใยกังวลกับใครบางคน เช่น ศัตรู คนรัก แฟน พ่อแม่ ลูก คุณค่าสำคัญคือ ช่วงเวลานี้ทำให้เรามีโอกาสทบทวนชีวิตที่ผ่านมา ความเป็นสัปปายะของสถานที่ บรรยากาศ ช่วยให้เกิดความสงบในจิตใจ ซึ่งเอื้อต่อการคิดนึกทบทวน รวมถึงการปล่อยวางเรื่องราวที่ค้างคาใจ อีกทั้งความสงบจากสถานที่ก็เอื้อต่อการฝึกฝนบำเพ็ญเพียรทางจิต การฝึกฝนที่จะอยู่กับความรู้สึกตัว การมีสติ ความรู้ตัวทั่วพร้อม
การอยู่กับผู้อื่น ตั้งแต่การดูแลพระผู้ใหญ่ การอยู่ร่วมกับเพื่อนพระที่พรรษามากกว่าหรือรุ่นราวเดียวกัน แม้พระภิกษุจะมีกรอบความเป็นพระ แต่สังคมของพระภิกษุในหลายวัดก็มีเรื่องราวชีวิตประจำวันไม่แตกต่างจากสังคมฆราวาส มีเรื่องราวความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในทุกสังคม เช่น การใช้อำนาจเป็นใหญ่ การมีพฤติกรรมที่ออกนอกกรอบ ความไม่รับผิดชอบในกิจวัตร การมีอคติขัดเคืองในคำพูดและการกระทำระหว่างกัน ในขณะเดียวกัน หลายคนก็ได้มิตรแท้และได้มิตรภาพที่มีคุณค่าจากความสัมพันธ์ที่อยู่ร่วมกัน ช่วงเวลาการอยู่ร่วมกันจึงเป็นช่วงเวลาของการฝึกฝนปฏิบัติ การทดลอง และทดสอบบทเรียนของตนเองภายใต้สภาพคับข้องและขัดเคืองใจ เราจะยังคงรักษาความสงบมั่นคงในจิตใจได้หรือไม่ เพียงใด หากรักษาไม่ได้ก็มักเกิดสภาพที่เรียกว่า “แหกพรรษา” คือ การไม่สามารถรักษาสัจจะอธิษฐานที่จะอยู่ศึกษาบวชเรียนจนครบพรรษา
การอยู่กับตนเอง และการอยู่กับผู้อื่น เป็นทักษะความสามารถที่ต้องอาศัยเวทีฝึกฝน เริ่มต้นด้วยการลด ละ เลิกกับกิจกรรมที่มักใช้พลังงาน เวลากับเครือข่ายสังคมออนไลน์ มาเป็นการศึกษาเรียนรู้ตนเอง ชีวิตของพระภิกษุเปิดโอกาสให้เห็นความสัมพันธ์ที่เกื้อกูลกันของสังคมพระและสังคมฆราวาส ความเชื่อเรื่องการทำบุญกับพระและวัดกลายเป็นฐานสำคัญที่เปิดและรักษาโอกาสนี้ คุณค่าสำคัญคือ การสืบทอดพุทธศาสนา
สำหรับสังคมไทยที่เปิดกว้างในเรื่องการบวชเรียน สิ่งสำคัญคือ การใช้ช่วงเวลานี้ให้มีคุณค่าที่แท้กับชีวิตตนเอง ชีวิตของผู้อื่น และต่อพระศาสนาโดยรวม การใช้เวลา พลังงาน เพื่ออยู่กับตนเองและอยู่ร่วมเป็นสังคม จึงเป็นไปโดยสอดคล้องกับอุดมคติชีวิตพระภิกษุ คือ การไม่เบียดเบียน