จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า มนุษย์มีการเรียนรู้ที่จะดำรงชีวิตด้วยสัญชาตญาณมาแต่ครั้งบรรพกาล ทั้งการเอาตัวรอดจากภัยธรรมชาติหรือสัตว์ป่า เมื่อเริ่มมีการทำมาหากินอย่างเป็นหลักแหล่ง มนุษย์ก็ได้สร้างระบบความสัมพันธ์การอยู่ร่วมกันขึ้นมาเป็นชุมชน มีการพึ่งพาซึ่งกันและกันอย่างเป็นระบบมากขึ้น พร้อมกับการก่อเกิดของลัทธิความเชื่อต่างๆ หลังจากนั้นก็ได้มีการพัฒนาระบบการศึกษา มีการค้นพบทางวิทยาศาสตร์และพัฒนาวิทยาการต่างๆ มาเป็นลำดับ จนกระทั่งถึงยุคที่เทคโนโลยีสารสนเทศมีความก้าวหน้าถึงขีดสุด ในขณะเดียวกันการเสริมศักยภาพของอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อทำสงครามระหว่างมนุษย์กันเองก็มาถึงขั้นสุดด้วยเช่นกัน
จากสายธารวิวัฒนาการของมนุษย์ สะท้อนให้เห็นข้อเท็จจริงประการหนึ่งว่า เมื่อความสามารถในการใช้สมองขบคิดเชิงตรรกะของมนุษย์มาถึงขีดสุด ญาณทัสนะของมนุษย์ก็ค่อยๆ ลดลง กระทั่งมีคนเปรียบเปรยว่า ทุกวันนี้คนเรามีเครื่องมืออำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสารกันมากขึ้น แต่กลับเข้าใจกันน้อยลง ปรากฏการณ์นี้ไม่เว้นแม้กับความรัก
แม้ในทางพุทธศาสนา ความรักจะถือเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง เป็นเหตุแห่งกองทุกข์ และเป็นอุปสรรคสำคัญในการบรรลุซึ่งธรรมอันสูงสุด แต่ในขณะเดียวกัน ความรักก็มีพลังอันมหาศาลในการเปิดประตูแห่งการบรรลุธรรมได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าเรารักเพื่อที่จะครอบครอง เพื่อที่จะปล่อยวาง เพื่อที่จะรัก หรือเพื่อสิ่งใด…
ความรักมีอำนาจทำให้ทุกสิ่งเกิดขึ้นได้เสมอ แต่ความรักก็เหมือนกับอำนาจอื่นๆ ที่ปราศจากดวงตา จึงแล้วแต่ว่าเราจะพาความรักหักเลี้ยวไปในทิศทางใด ถ้าหากดวงตาของเราพร่ามัว ทั้งเราและความรักก็อาจจะพากันถูลู่ถูกังหลงทิศหลงทางไป นี่คือความเสี่ยงที่ทุกคนมีสิทธิ์ได้เจอ ตราบใดที่เรายังปรารถนาที่จะได้รับและมอบความรัก
หากไม่มีความบกพร่องทางการแปรคุณค่าของชีวิต เราต่างย่อมต้องการที่จะได้รับและมอบความรักที่แท้จริงแก่กัน ไม่ว่าความสัมพันธ์นั้นจะเป็นระหว่างชายหญิง พ่อแม่ลูก เจ้านายลูกน้อง มิตรสหาย มวลมนุษย์ ธรรมชาติ หรือแม้แต่กับตัวเอง แต่น่าเสียดายที่น้อยคนจะได้สัมผัส ทั้งๆ ที่ความรักที่แท้จริงไม่ใช่สิ่งสูงค่าเลิศลอย ไม่ใช่สิ่งที่มีราคาแพงลิบลิ่ว ไม่ใช่กระทั่งสิ่งที่หายาก ตรงกันข้าม ความรักที่แท้จริงมีอยู่ทั่วไปในคนทุกคน
ความรักที่แท้จริงนั้นปราศจากมูลค่าแต่มีคุณค่ามากมาย เฉกเช่นการมีอยู่ของลมหายใจ ซึ่งฉันคิดว่า ความรักกับลมหายใจเป็นของคู่กัน และลมหายใจนี้เองที่จะเป็นสะพานเชื่อมโยงกายกับใจให้เป็นหนึ่งเดียว มีเพียงปัจจุบันขณะเช่นนี้เท่านั้นที่จะช่วยเปิดดวงตาให้กับความรักได้
ถึงตอนนี้ฉันคิดว่าคุณคงพอเข้าใจแล้วว่า ทำไมเราจึงได้สัมผัสกับความรักที่แท้จริงกันยากเย็นนัก นั่นเป็นเพราะว่าเรามักจะไม่ค่อยอยู่กับปัจจุบันขณะ เราดำรงชีวิตด้วยการแยกการกระทำทางกาย ความคิด และความรู้สึกออกจากกัน ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่เรานั่งกินข้าวด้วยกัน มักจะมีคนหนึ่งที่คุยโทรศัพท์ อ่านหนังสือพิมพ์ คิดแผนการในอนาคต หรือไม่ก็อัพเดตสถานะในสังคมออนไลน์
เราแทบไม่มีเวลาที่แท้จริงที่จะอยู่เพื่อกันและกันเลย ฉะนั้น จึงเป็นการยากที่ดวงตาแห่งรักจะมองเห็นการมีอยู่ของกันและกัน และลงเอยด้วยการไม่สามารถได้ยินเสียงแห่งความสุขหรือความทุกข์ที่แท้จริงของกันและกัน เมื่อนั้นคำรักก็จะกลายเป็นวาทกรรมที่ชนชั้นอารยะพึงบอกแก่กันเป็นกิจวัตรเสมือนคำทักทาย สวัสดีตอนเช้า เพียงเท่านั้น
ช่างเป็นโศกนาฏกรรมที่ธรรมดาสามัญเสียเหลือเกิน
ทุกวันนี้เรามีเครื่องมืออำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสารกันมากขึ้น แต่กลับเข้าใจกันน้อยลง ปรากฏการณ์นี้ไม่เว้นแม้กับความรัก
หากไม่รู้จักกันมาก่อน คุณคงคิดว่าฉันคงเป็นยายแก่ที่ขึ้นคานและมีอดีตเกี่ยวกับความรักอันขมขื่นเป็นแน่ จึงได้เขียนถ้อยคำที่เต็มไปด้วยอคติต่อความรักเช่นนั้น เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่งปล่อยให้จินตนาการปรุงแต่งสีสันมากไปกว่านี้เลย เรามาพูดถึงความรักกันต่อดีกว่า
การเปิดดวงตาแห่งรักด้วยการมีสติอยู่กับปัจจุบันขณะเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะจะมีแต่ชั่วขณะนี้เท่านั้นที่เราจะสามารถสัมผัสกับความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองและคนที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งจะทำให้เรารู้ว่าควรจะพูดและแสดงท่าทีอย่างไรต่อกัน
การที่เราหมกมุ่นอยู่กับความคิดหรือความรู้สึกของตัวเอง โดยเฉพาะในตอนที่รู้สึกโกรธ เสียใจ หรือผิดหวังในตัวคนที่เรารัก ความสามารถในการรับรู้ถึงความรู้สึกและเหตุผลของอีกฝ่ายจะลดลงจนแทบไม่เหลือหรอ ฉากต่อมาก็คือการทุ่มโทษซึ่งกันและกัน ห้วงเวลาเช่นนี้ แม้ว่าเหตุผลของแต่ละฝ่ายจะมีน้ำหนักมากมายเพียงใด แต่ก็จะไม่มีความหมายอีกต่อไป เพราะความรู้สึกภายในยังไม่ได้รับการดูแล
ครั้งหนึ่ง พระไพศาล วิสาโล ได้กล่าวในที่ประชุมโรงพยาบาลสุรินทร์ว่า “เวลาทะเลาะกัน อย่าเอาเหตุผลมาคุยกัน ให้เอาความรู้สึกที่มีต่อกัน เอาความรัก ความเป็นมิตร มาคุยกัน…” ซึ่งฉันอยากจะขอขยายความเพิ่มเติมตรงที่ว่า ก่อนที่เราจะพูดคุยกันด้วยความรักและความเป็นมิตรนั้น ขอให้ตั้ง สติ อยู่กับคนที่อยู่ตรงหน้าเราอย่างแท้จริง
การที่ฉันเน้นย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่านี้ ก็เพราะว่า ช่วงเวลาที่เราต่างถูกครอบงำด้วยอารมณ์นั้น ยากเหลือเกินที่จะได้ยินเสียงที่แท้จริงภายในหัวใจของกันและกัน ลองฟังดูสิ บางทีถ้อยคำประชดประชัน เสียดสี อาจหมายถึงความน้อยอกน้อยใจของคนที่พูดก็ได้ ถ้าเราถูกกระทบด้วยถ้อยคำเหล่านั้น แล้วถือเอาตามนั้น เราก็จะรู้สึกโกรธ และตอบโต้ด้วยความรุนแรงพอๆ กันหรือมากกว่า ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว เราเองก็รู้สึกเสียใจและผิดหวังที่เขาพูดกับเรา แต่ถ้อยคำที่พูดออกไปมักจะตรงข้ามกับความรู้สึกข้างใน
หรือในเหตุการณ์เดียวกัน แต่เราเลือกที่จะเพิกเฉยต่อคำประชดประชันเสียดสีโดยการหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาบังหน้า เราก็จะไม่มีโอกาสได้รับรู้ความเจ็บปวดที่แท้จริงของอีกฝ่ายเลย นั่นเท่ากับว่าเราพลาดโอกาสที่จะได้ดูแลซึ่งกันและกันไปอย่างน่าเสียดาย
ในช่วงเวลาที่เปราะบางที่สุดนี้ สติ คือ เทพแห่งความรักที่จะนำมาซึ่งอำนาจแห่งการเยียวยาและการคลี่คลาย ฉะนั้น พร้อมๆ กับการสูดลมหายใจเข้า-ออกช้าๆ ขอให้เราบอกกับตัวเองว่า “ฉันกำลังได้ยินเสียงของความผิดหวังในใจของตัวเอง และฉันก็กำลังได้ยินเสียงของความน้อยใจของเธอเช่นกัน ดังนั้น ฉันจะบอกกับเธอว่า ฉันรู้ว่าเธอเสียใจมาก และฉันเองก็เสียใจไม่น้อยไปกว่าเธอ ถ้าหากเธอยังไม่พร้อมที่จะปรับความเข้าใจกัน เราตกลงจะหยุดพักเพื่อให้อารมณ์เย็นลงก่อนไหม แล้วค่อยมาคุยกันอีกที…”
สภาวะเช่นนี้ นับว่าเป็นช่วงเวลาที่เราจะได้ฝึกเพื่อลดทอนตัวตนลง แล้วเปิดพื้นที่ว่างตรงกลางสำหรับการเข้าใจและยอมรับซึ่งกันและกัน ซึ่งไม่เพียงแต่คู่รักเท่านั้น ยังหมายรวมไปถึงความสัมพันธ์ทุกๆ มิติด้วย
และในวันที่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนำพาเราเดินทางห่างจากความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างชีวิตมาแสนไกล ไกลพอๆ กับการที่ความคิดเชิงตรรกะนำพาเราห่างจากความรู้สึกอันละเอียดอ่อนภายในจิตใจ แต่มีสิ่งหนึ่งที่มนุษยชาติยังคงส่งต่อเป็นมรดกทางจิตวิญญาณแก่กันอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งก็คือ ความรัก นั่นเอง
แต่ก่อนที่คุณจะรับและมอบความรักแก่ใคร อย่าลืมเปิดดวงตาแห่งความรักเสียก่อน นี่คือคำเตือนจากยายแก่ที่ขึ้นคาน!